บทที่ 1146 ลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ฉินซีตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยต้องวุ่นวายใจเพราะเรื่องเงินมาก่อน
ค่าตอบแทนที่องค์กรให้มานั้นไม่น้อย แต่ว่าสำหรับเธอมาพูดแล้วก็เป็นแค่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่เคยเอามาใส่ใจมาก่อน อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อติดไม้ติดมือ สินทรัพย์ส่วนใหญ่ก็มอบหมายให้นักมืออาชีพจัดการ
คราวนี้ออกมาจากตระกูลฉินแล้ว แน่นอนว่าทรัพย์สมบัติที่สามารถใช้ได้ก็ต้องใช้ไม่ได้แล้ว เงินที่สามารถเอามาใช้จ่ายได้ ดู ๆ ไปแล้วก็เหลือแค่ค่าตอบแทนที่องค์กรให้เท่านั้น
แต่ว่าเหยาหมิ่นไม่มีงานทำ เงินค่าตอบแทนส่วนนี้ของเธอจะต้องมาประคับประคองชีวิตของทั้งสองคน และยังจะต้องชดใช้หนี้ ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ ถึงจะคืนได้ครบ
แต่พวกคนทวงหนี้ที่เห็นนี้ เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนจนจะบีบคั้นพวกเขาให้ตายอยู่แล้ว ไม่มีความอดทนมารอให้พวกเขาค่อย ๆ ชดใช้คืน
แต่อานหยันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินซีมีรายได้ส่วนนี้ด้วย จากที่เธอดูมา ฉินซีเป็นลูกคนรวยที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพิงตระกูลฉินทั้งหมด คราวนี้ย้ายออกมาจากบ้านตระกูลฉินแล้ว ก็ขาดช่องทางการมาของรายได้แล้ว จะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง ยังเป็นปัญหาที่ยากอยู่เลย
“ฉินซี เธอเคยคิดไหมว่า จะเอาผลงานการถ่ายรูปของเธอออกมา?” อานหยันครุ่นคิดไปสักครู่ แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนกับว่าคิดอะไรได้ และเปิดปากถามออกมา
ดูไปแล้วฉินซีดูมีความตกใจเล็กน้อย “ผลงานภาพถ่ายของฉันเหรอ?”
อานหยันพยักหน้า “ใช่ ฉันรู้จักกับบรรณาธิการอยู่ไม่น้อย แล้วตามคุณภาพของผลงานถ่ายภาพของเธอ ไม่ต้องให้ฉันเปลืองน้ำลายเท่าไหร่หรอก ก็สามารถหานิตยสารให้เธอได้บ้าง แล้วเอารูปถ่ายขายออกไป รออีกหน่อยชื่อเสียงค่อย ๆ เป็นที่รู้จักแล้ว คนที่จะมาจองต้นฉบับกับเธอก็จะยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ พอถึงตอนนั้นผลงานภาพถ่ายของเธอก็จะมีค่าไม่น้อยแล้ว”
ฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง
ถึงแม้ว่านี่ก็ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ได้เงินมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็เป็นวิธีที่จะได้เงินมาอย่างดีมากวิธีหนึ่งแล้ว
เธอสามารถใช้เงินค่าตอบแทนมาประคับประคองชีวิตของทั้งสองคน แล้วค่าต้นฉบับของภาพถ่ายก็สามารถเอามาใช้หนี้ได้ด้วย
คิดไม่ถึงว่า งานอดิเรกของตัวเอง ในวันหนึ่งจะกลายมาเป็นหนทางประคับประคองชีวิตของตัวเองไปได้
มุมปากของฉินซีมีรอยยิ้มขมขื่นโผล่ออกมา แต่ว่าก็ยังพยักหน้า “ได้ซิ”
เธอเลือกภาพถ่ายไม่กี่รูปที่รู้สึกพอใจจากในโทรศัพท์ของตัวเองแล้วส่งให้อานหยัน และทั้งสองคนก็พูดไปอีกไม่กี่ประโยค แล้วฉินซีก็บอกลาและจากไป
แต่ว่าเธอกลับไม่ได้กลับบ้านไปทันที แต่ว่ากลับเลี้ยวทีหนึ่ง แล้วก็ไปที่โรงน้ำชาหนานเฟิง
จ้านเซินเป็นคนส่งข้อความมานัดเธอไปที่นั่น
รอตอนที่ฉินซีเปิดประตูห้องส่วนตัวเข้ามานั้น จ้านเซิน ก็ได้นั่งอยู่ข้างในก่อนแล้ว
เขาก็ยังคงเป็นใบหน้าที่ไม่ปฏิกิริยาใด ๆ แบบนั้น รอฉินซีนั่งลงตรงข้างหน้าเขา ถึงได้พูดขึ้นเรียบ ๆ ว่า “รายงานของเธอ ฉันได้รับแล้ว”
ฉินซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “งั้นคุณวางแผนจะช่วยเหลือยังไง?”
จ้านเซินกลับเงียบลง
ในใจของฉินซีมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่กะพริบขึ้น
“คุณคงจะไม่ใช่……”
เมื่อก่อนในองค์กรก็เคยมี ตอนที่สมาชิกปฏิบัติหน้าที่แล้วตกไปอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม ในตอนที่ต้นทุนในการช่วยเหลือสูงเกินไปนั้น องค์กรก็จะเลือกยอมสละสมาชิกคนนั้นทิ้งไป
เธอไม่ได้พูดคำพูดจนจบ แต่ว่าจ้านเซินกลับเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร แล้วพยักหน้าอย่างแทบจะมองไม่เห็น
ฉินซีกำหมัดแน่นขึ้นทันที น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นดังขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ “เพราะอะไร?”
ข้อมูลที่ฟางฟาง โดนขังอยู่ เธอเป็นคนค้นหามาเอง ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ได้ดีเท่าเธออีกแล้ว
คนที่เอาฟางฟางไปขังนั้นเป็นบริษัทผลิตยาแห่งหนึ่ง บริษัทแห่งนั้นหลายปีมานี้ได้ลงทุนทำการทดลองยาเกี่ยวกับพวกควบคุมประสาทไปเป็นทุนมหาศาล แต่ว่ากลับทดลองไม่ได้มาตลอด
ตามองเห็นว่าโยนเงินเข้าไปตั้งมากมายแต่กลับคว้าน้ำเหลวทั้งหมด การเงินของบริษัทยิ่งอยู่ก็ยิ่งลำบาก ในที่สุดคนของบริษัทนั้นก็นั่งไม่ติดแล้ว ก็เลยหาคนไป“เชิญ”ฟางฟางไปนั่งที่บริษัทของพวกเขาสักหน่อย
ตอนแรกกะว่าแค่ข่มขู่สักหน่อย ฟางฟางก็น่าจะบอกผลการทดลองของเธอออกมา แต่คิดไม่ถึงว่า ฟางฟางกลับปากแข็งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเปิดปาก บริษัทนั้นก็เลยโมโหโกรธา ถึงได้เอาฟางฟางไปถังไว้
แต่ว่าสุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็เป็นแค่บริษัทแห่งหนึ่ง ฉินซีได้ตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามมาจนหมดแล้ว ครั้งนี้ที่ทำแบบนี้ก็แทบจะเป็นหมาจนตรอกกระโดดกำแพงแล้ว และก็ยังระมัดระวังมากจนเชิญคนอื่นมาช่วยทำด้วย เมื่อก่อนไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายมาก่อนด้วยซ้ำ กับขององค์กรแล้วมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย องค์กรก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สามารถจัดการกับคู่ต่อสู้แบบนี้ได้นี่
จ้านเซินกลับยังคงไม่เปิดปาก ได้แต่เงียบขรึมอยู่
ความเงียบของเขากลับยิ่งทำให้ฉินซีโมโห และก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นBoosใหญ่ของตัวเองอีก น้ำเสียงสูงขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ “ทั้ง ๆ ที่ฟางฟางก็แค่โดนขังไว้ในตึกส่วนบุคคลตึกนี้! แล้วก็มีคนเฝ้าอยู่แค่คนเดียว! แม้กระทั่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักฆ่ามืออาชีพด้วยซ้ำ แม้แต่ฉันไปเองก็ยังสามารถช่วยเขาออกมาได้อย่างง่ายดาย!”
ฉินซียิ่งพูดก็ยิ่งเดือดดาล จนแทบจะลุกขึ้นมาอยู่แล้ว
“นั่งลง” ในที่สุดจ้านเซินก็เปิดปากพูดขึ้น และมองฉินซีเย็น ๆ ทีหนึ่ง แล้วมองความคิดของเธออย่างทะลุปรุโปร่ง “อย่างคิดว่าเธอจะไปช่วยเขาด้วยตัวเอง ที่ไม่ช่วยเขาเป็นการตัดสินใจขององค์กร และผ่านการยินยอมจากเจ้าตัวแล้ว”
หัวคิ้วของฉินซีขมวดเข้าหากันลึก แล้วพูดอย่างไม่มีเสียงว่า “อะไรนะ?”
ฟางฟางยินยอมเองเหรอ ?
จ้านเซินไม่ได้มีความอยากจะพูดอะไรกับเธออีก เพียงแต่ส่ายหน้าเบา ๆ “ที่จริงเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มต้น……ฉันก็ไม่ควรมาหาเธอ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันก็บอกเธอได้อย่างเดียวว่า อย่าสืบต่อไปอีกเลย”
เขาพูดประโยคนี้จบ ก็ลุกขึ้นจะจากไป ฉินซีมองแผ่นหนังของเขา ในที่สุดก็ควบคุมไฟโกรธของตัวเองไว้ไม่อยู่ แล้วก็ออกเสียงถามขึ้นว่า “แต่ว่าเขาเป็นแม่ของคุณนะ!”
ฝีเท้าของจ้านเซินหยุดนิ่ง แล้วค่อย ๆ หันหน้ามามองที่เธอ
“ใครบอกเธอกัน?”
นัยน์ตาของเขามีสีเข้มมาก บนใบหน้าก็มีปฏิกิริยาราวกับฟ้าฝนกำลังจะกระหน่ำ
แต่ว่าตอนนี้ฉินซีโดนความโกรธพุ่งขึ้นมาจนหัวมึนไปหมดแล้ว เธอไม่ได้สนใจที่จะใส่ใจกับสีหน้าของเขาแล้ว และพูดเองเออเองขึ้นมา “คุณยังเป็นคนอยู่ไหมจ้านเซิน? จะไม่พูดว่าเขาอุ้มท้องสิบเดือนมาอย่างยากลำบากแล้วคลอดคุณออกมานะ ปกติฟางฟางดีกับคุณมากแค่ไหน มีแต่คนที่ตาบอดเท่านั้นที่ดูไม่ออก! คำว่ายอมสละของคุณมันช่างเบาหวิว ฟางฟางก็เป็นชีวิตคนชีวิตหนึ่ง พูดว่าไม่เอาก็ไม่เอาแล้วงั้นเหรอ!”
“พอแล้ว!” จ้านเซินเปิดปากตะคอกขึ้นอย่างอดทนไม่ไหว
ฉินซีโดนเขาทำให้ตกใจจนสะดุ้ง พอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ก็ได้กลายเป็นสีหน้าที่โดนทำให้โกรธเคืองไปหมดแล้ว
ตัวเธอนั้นรู้จักฝีมือของจ้านเซินดี ท่าทางแบบนี้ของเขาคือถ้าหากว่าฉินซียังพูดมากอีกคำเดียวก็จะลงมือจัดการกับเธอแล้ว สุดท้ายมันก็ทำให้เธอตกใจจนนิ่งอึ้งไปจริง ๆ ทำให้เธอต้องกั้นความไม่พอใจที่อยู่เต็มอกและหุบปากลง
จ้านเซินเห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่พอใจ แล้วก็หัวเราะขึ้นอย่างโกรธจัด แล้วเดินก้าวใหญ่ ๆ กลับไปที่นั่งตัวเอง และทิ้งตัวนั่งลงอย่างหนักหน่วง “ฉันไม่สนว่าเธอจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับฟางฟางได้ยังไง แต่ว่าฉินซี ฉันขอเตือนเธอนะ ถ้าหากฉันได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น ฉันก็จะถือว่าถูกพูดออกไปจากปากเธอ ”
ฉินซียิ้มเย็นทีหนึ่ง “แน่นอนว่าฉันต้องไม่พูดอยู่แล้ว ฟางฟางมีลูกชายแบบคุณ ฉันยังรู้สึกไม่คุ้มแทนเขาเลย ”
แต่ฉินซีปัจจุบันที่มองทุกอย่างผ่านสายตาของเธอนั้น ได้ยินเสียงโมโหโกรธจัดของเธอแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นนิดหนึ่ง
เอาตามความทรงจำก่อนหน้านี้มาพูดนั้น หลังจากที่จ้านเซินกลายเป็นผู้นำคนใหม่ขององค์กรไปแล้ว ความสัมพันธ์กับฉินซีก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อมากขนาดนั้นแล้ว โอกาสที่ทั้งสองคนจะเจอหน้ากันก็ลงน้อยลง แล้วพอบังเอิญเจอกันไม่กี่ครั้ง ฉินซีก็จะพูดกับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ ทำอย่างกับเขาเป็นหัวหน้าของตัวเองทั้งสิ้น
แต่คราวนี้ท่าทางที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะโดนคำพูดของจ้านเซินกระตุ้นให้เป็น