บทที่ 1148 ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือ
ฉินซีไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน
ความวุ่นวายที่ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนอย่างกับภูเขาสูงใหญ่ลูกแล้วลูกเล่า มาทับถมเธอไม่หยุด
เธอจะต้องหาเงินมาจุนเจือความอิ่มท้องของตัวเองและเหยาหมิ่น ยังจะต้องหาเงินมาใช้หนี้ ยังจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าตกลงหนี้ของเหยาหมิ่นนั้นได้ยืมมาจากไหนบ้าง แล้วดอกเบี้ยก็คิดยังไงอีก
เงินนั้นอยู่ในชีวิตของฉินซี ไม่เคยสำคัญขนาดนี้มาก่อนเลย
แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญหาเรื่องเงิน
ความปลอดภัยของฟางฟางก็เป็นภูเขาอีกลูกหนึ่ง ที่ทับอยู่ในใจของฉินซี
จ้านเซินพูดว่าจะยอมสละฟางฟาง แต่ว่าฉินซีกลับทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขาต้องสิ้นชีพ
เธอจะต้องทำอะไรขึ้นมาบ้าง
คำพูดที่ฉินซีพูดกับจ้านเซินนั้นไม่ได้พูดเพราะว่าโกรธ แต่ตามข้อมูลที่ฉินซีสืบค้นมานั้น ที่ที่ใช้คุมขังฟางฟางนั้นไม่ได้มีการเฝ้าไว้เข้มงวดนัก ฉินซีเข้าไปช่วยเหลือเธอตัวคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เพียงแต่ว่า……ก็ยังจะต้องวางแผนให้ดี ๆ อีกสักหน่อย
ฉินซีรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว แล้วก็นอนหลับไปบนโซฟาอย่างเหน็ดเหนื่อยถึงขีดสุด จนกระทั่งสายโทรเข้าของคนส่งอาหารปลุกเธอตื่นขึ้นมา
จัดการอาหารเย็นไปอย่างลวก ๆ แล้วฉินซีก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง
เรื่องหาเงินให้อานหยันไปหาคิดหาวิธีก่อน ในเมื่อเรื่องของฟางฟางนั้นเป็นชีวิตคนชีวิตหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบหน่อย
เธอวิเคราะห์ผลข้อมูลที่ตัวเองสืบค้นมาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง และก็หาช่องโหว่ของคนเฝ้ายามได้หลายจุด โดยรวมแล้วก็กำหนดแผนการหนึ่งขึ้นมา
พอตรวจไปรอบหนึ่ง แน่ใจแล้วว่าแผนการไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ฉินซีก็ปิดเอกสารผลการสืบค้นลง ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วก็เริ่มต้นตรวจค้นหนี้สินบนตัวเหยาหมิ่นว่าติดใครไว้บ้าง
ค้นหาทีหนึ่งไม่สำคัญ แต่ใจทั้งดวงของเธอได้โดนกดทับไปอยู่ก้นเหวแล้วจริง ๆ
หนี้บนตัวเหยาหมิ่นนั้นนอกจากหลายสิบล้านที่เป็นหนี้ของธนาคารแล้ว ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเงินที่ฉินซึ่งเทียนยืมไว้กับบุคคลทั่วไป
เงินดอกเบี้ยสูงจนน่ากลัว มีหลายก้อนยังเกือบจะเป็นหนี้นอกระบบดอกเบี้ยสูงอยู่แล้ว
ฉินซียิ่งดูก็ยิ่งจิตใจเหน็บหนาว
เอาตามสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเขา เงินทั้งหมดที่มีในทุก ๆ เดือนทุ่มเข้าไปหมด ก็ยังแทบจะคืนแม้แต่ดอกเบี้ยยังไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคืนเงินต้นเลย
เขายกมือขึ้นมานวดหัวคิ้ว ชั่วขณะหนึ่งเริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมา
เธอกับเหยาหมิ่น……จะดีขึ้นได้จริง ๆ เหรอ?
ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงได้จริงเหรอ?
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินซีก็โดนเสียงเคาะประตูปลุกตื่นอีกครั้ง
วันนี้คนที่มาเคาะประตูเหมือนว่าจะเป็นคนอีกพวกหนึ่ง ความอดทนของพวกเขาดีกว่าพวกเมื่อวานเยอะเลย ไม่เพียงกดกริ่ง ยังใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ลองงัดประตูดู ภายใต้สถานการณ์ที่ฉินซีไม่มาเปิดประตูนั้น พวกเขายังทนทานต่อเสียงแหลมสูงของผู้หญิงบ้านตรงข้าม เฝ้ารออยู่หน้าประตูตั้งนาน
รอจนพวกเขาจากไปหมดแล้ว ฉินซีถึงพบว่าแผ่นหลังของตัวเองโดนเหงื่อเย็นซึมออกมาจนเปียกไปแล้ว
ชีวิตอย่างนี้……จะสามารถอยู่ต่อไปได้จริง ๆ เหรอ?
แต่ว่าความคิดแบบนี้แค่กะพริบผ่านไปในสมองของเธอเท่านั้น
หันหน้ามามองเห็นหน้าของเหยาหมิ่น เธอแอบกัดฟันอยู่ในใจ
ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็จะต้องยืนหยัดต่อไป
เรื่องของฟางฟางไม่มีเวลาให้ล่าช้าอีกต่อไปแล้ว เอาตามแผนการที่กำหนดไว้เมื่อวาน ฉินซีเตรียมอุปกรณ์อยู่ที่บ้านไว้จนครบแล้ว รอจนถึงตอนบ่าย บอกกับเหยาหมิ่นว่าตัวเองนัดกินข้าวเย็นกับคนอื่นไว้ แล้วก็ออกไปเลย
รอเธอขับรถมาจนถึงตึกส่วนบุคคลที่ฟางฟาง โดนขังไว้นั้น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
เธอสำรวจรอบ ๆ อย่างรอบคอบรอบหนึ่ง
นี่เป็นตึกส่วนบุคคลที่เห็นได้บ่อย ๆ ในเขตชานเมือง ที่แทบจะไม่มีอะไรสะดุดตาเลยสักนิด ตึกนี้มีสีเทาหม่น ๆ สิ่งอำนวยความสะดวกของตึกส่วนบุคคลนี้ก็ค่อนข้างเก่า ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่ก็ได้ย้ายออกไปแล้ว ทั้งตึกไม่มีห้องไหนเปิดไฟสว่างไว้เลย
แต่ว่าเอาตามผลที่เธอสืบค้นมานั้น ฟางฟางก็โดนคุมขังอยู่ในห้องที่ชิดมุมตะวันตกของชั้นบนสุด
ใต้ตึกไม่มีประตูใหญ่ ช่องประตูมืดสนิทเปิดอ้าซ่าเอาไว้ เหมือนกับว่าไม่มีการป้องกันใด ๆ
แต่ว่าฉินซีก็ยังไม่ได้ชะล่าใจไป
ในเมื่อเธอมาตามลำพังตัวคนเดียว
ฟางฟางเป็นคนที่ถูกทอดทิ้ง แล้วถ้าตัวเองยังติดร่างแหไปด้วย ส่วนใหญ่แล้วองค์กรก็ไม่มีทางส่งคนมาช่วยตัวเองหรอก
เพราะฉะนั้นเธอจึงสำรวจทางหนีไว้ก่อนแล้วอย่างรอบคอบ แล้วค่อยทำตามแผนของตัวเองค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนตึกอย่างเบามือเบาเท้า
ตลอดทางนั้นราบรื่นมาก อาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่หลายวันมานี้ต่างก็ไม่มีคนมาช่วยเขาเลย การคุมขังของฟางฟางจึงเหมือนกับผลที่ฉินซีสืบค้นมาได้เลย คือแทบจะไม่ได้ให้ฝ่ายโน้นเสียแรงไปมากเท่าไหร่
ฉินซียื่นหัวเข้าไปจากตรงระเบียง
ตึกส่วนบุคคลเก่า ๆ ชั้นบนสุดก็ไม่ได้สูงมาก ก็แค่หกชั้นเอง
เพียงแต่ว่าถ้าเป็นคนทั่วไปตกลงไปจากความสูงระดับนี้แล้วละก็ คงจะเสียชีวิตได้เช่นกัน
แต่ว่าฉินซีกลับเหมือนว่าไม่ได้เอามาใส่ใจเลยสักนิด ทั้งสองมือของเธอเกาะขอบระเบียงเอาไว้ แล้วกระโดดไปอย่างช่ำชอง และก็ตกลงสู่ระเบียงนอกห้องที่คุมขังฟางฟางไว้
เธอตกลงสู่พื้นอย่างไม่มีเสียงใด ๆ ราวกับแมวตัวหนึ่งชัด ๆ
ข้างในห้องนั้นเงียบสงบมาก เหมือนอย่างกับว่าไม่มีคน
แต่ว่าฉินซีกลับไม่ได้ปล่อยวางความระมัดระวังตัวลงแม้แต่น้อย เธอสวมแว่นตาที่สามารถมองเห็นได้ในความมืด แล้วมองสำรวจข้างในอย่างละเอียดจากขอบหน้าต่าง
ข้างในเป็นห้องที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ ผิวปูนของกำแพงได้หลุดลอกออกไป ทำให้เห็นก้อนอิฐข้างในโผล่ออกมา
ไม่มีเตียง ไม่มีโซฟา ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีเพียงฟูกนอนเก่า ๆ อันหนึ่งวางไว้ที่มุมห้อง ข้างบนมีคนคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่
มองทีเดียวฉินซีก็มองออกแล้วว่า คนนั้นก็คือฟางฟาง
ฉินซีมองสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว ถึงได้เปิดหน้าต่างออกอย่างเบามือเบาเท้า ไม่ให้เกิดเสียงใด ๆ ขึ้นมา
แต่ว่าเงาร่างที่ขดตัวอยู่ในมุมห้องเหมือนกับว่าจะพบเห็นอะไรเข้า อยู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา
ฉินซีกลัวเขาร้องออกเสียงขึ้นมา ก็รีบส่งสัญญาณมือออกไปให้เขา
สัญญาณมือนี้ ฟางฟางเป็นคนสอนเธอเอง
เมื่อก่อนในตอนที่เธอยังต้องฝึกฝนอยู่นั้น บางครั้งฟางฟางก็จะวิธีกระตุ้นไฟฟ้าบ้าง แต่ว่าเขามักจะระมัดระวังมาก เพราะกลัวว่าจะทำร้ายฉินซีเข้า เพราะฉะนั้นก็เลยสอนสัญญาณมือกับเธออันหนึ่ง แล้วบอกเธอว่า ถ้าหากว่ากระแสไฟฟ้าทำให้เธอทรมาน ก็ให้ทำสัญญาณมืออันนี้ แล้วเขาจะได้หยุดทันที
ฉินซีไม่เคยคิดมาก่อน ว่ามีอยู่วันหนึ่งสัญญาณมือนี้จะถูกเอามาใช้ในสถานการณ์แบบนี้
คิดว่าฟางฟางก็น่าจะเห็นสัญญาณมือนี้แล้ว ถึงได้ไม่พูดอะไร เพียงแต่ดูฉินซีพลิกตัวเข้ามาจากหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ
หลังจากที่ฉินซีเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้รีบร้อนทำอะไร แต่กลับล้วงขวดเล็ก ๆ ที่เอาติดตัวมา แล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสองฝืน และเอาหนึ่งในสองฝืนนั้นยื่นให้กับฟางฟางฝืนหนึ่ง แล้วบอกให้เธอเอาผ้าปิดจมูกเอาไว้
ฟางฟางไม่ได้ถามให้มากความ ก็ทำตามเลย
ฉินซีใช้ผ้าเช็ดหน้าอีกฝืนปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็เปิดฝาขวดเล็ก ๆ นั้นออก แล้วเดินไปที่ข้างประตู
ผ่านไปไม่กี่นาที ที่ข้างประตูก็มีเสียงกรนหนัก ๆ ดังลอยเข้ามา
จิตใจดวงหนึ่งที่กำลังแกว่งไปแกว่งมาของฉินซีก็ค่อย ๆ วางลง รอจนของเหลวในขวดเล็ก ๆ ได้ระเหยออกไปจนหมดแล้วนั้น เธอถึงได้เบามือเบาเท้าเดินกลับมาที่ข้างตัวฟางฟาง แล้วใช้ท่าทางมือถามเขาว่า มีคนเฝ้าแค่คนเดียวใช่ไหม
ฟางฟางพยักหน้าลง
ตอนนี้ฉินซีถึงได้วางใจลงได้ทั้งหมดสักที แล้วนั่งลงตรงข้างกายฟางฟาง
ฤทธิ์ยาขวดนี้สามารถทำให้คนเฝ้านอนหลับไปได้ทั้งคืน
เธอยังไม่ได้เปิดปากพูด ฟางฟางก็ถามขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ใครให้เธอมา?”
น้ำเสียงของเขานั้นเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนทำให้ฉินซีนิ่งอึ้งไป “ฉัน……ฉันอยากมาเอง”
ฟางฟางเม้มริมฝีปากขึ้น อย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไง “ฉันนึกว่าจ้านเซินน่าจะบอกกับเธอแล้ว ว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือ ”
ชั่วขณะหนึ่งฉินซีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่พยักหน้า แล้วยอมรับเสียงต่ำว่า “จ้านเซินได้บอกกับฉันแล้วจริง ๆ ……ว่าให้ฉันไม่ต้องมา”