บทที่ 1149 แม้แต่แรงมัดไก่ก็ยังไม่มี
ฟางฟาง มองท่าทางที่ดื้อดึงเต็มหน้าของฉินซี แล้วก็ถอนหายใจทีหนึ่ง
“เธอเองก็อย่าโทษจ้านเซินเลย ที่ไม่ให้คนอื่นมาช่วยฉันนั้น ฉันเป็นคนพูดเอง ” ฟางฟางเปิดปากพูดขึ้น
ฉินซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ที่จริงแล้ว ในตอนที่เธอเพิ่งจะพลิกตัวเข้ามาในนี้นั้น ก็เริ่มมีลางสังหรณ์แบบนี้แล้ว
การป้องกันของที่นี่แทบจะไม่มี หน้าต่างก็เปิดอ้าซ่าไว้แบบนี้ ข้างบนก็คือชั้นสูงสุด คนที่เฝ้าก็ไม่มีการระแวดระวังเลยสักนิด
ถึงแม้ว่าฟางฟางจะเป็นแค่นักทดลองคนหนึ่ง แต่ว่าตามที่ฉินซีเข้าใจเกี่ยวกับองค์กรนั้น ถึงแม้จะเป็นแค่นักทดลอง ก็ไม่ใช่ว่าแม้แต่แรงมัดไก่ก็ยังไม่มีหรอกนะ
ถ้าหากว่าตัวเขาเองมีความอยากจะหลบหนีสูงมาก ๆ ก็อาจจะหนีไปด้วยตัวเองตั้งนานแล้ว
แล้วพูดอีกอย่าง คำพูดที่ฟางฟางพูดนั้น ฟังแล้วเหมือนกับว่า……เขากับจ้านเซิน เคยพบหน้ากันแล้ว
นึกแล้วก็ไม่แปลก
แม้แต่ตัวเองยังสามารถฝ่าเข้ามาได้อย่างง่ายดาย แล้วถ้าหากว่าจ้านเซินอยากจะมา ก็คงจะเคยมาตั้งนานแล้ว
เพียงแต่ว่าเมื่อวานตอนที่จ้านเซินพบกับฉินซีนั้น กลับไม่ได้เอ่ยถึงจุดนี้เลยสักนิด
ไม่งั้นฉินซีคงจะคิดวิเคราะห์กับความเคลื่อนไหวในคืนนี้ของตัวเองมากขึ้นอีกสักหน่อย
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ยังไง ๆ เธอก็มาแล้ว ถ้าหากว่าฉันไม่พูดกับเธอให้ชัดเจน เธอเองก็คงจะไม่ตายใจ” ฟางฟางยิ้มขึ้นจาง ๆ
ยาที่ฉินซีใช้กับคนเฝ้านั้นเป็นยาที่คนในองค์กรคิดค้นขึ้นมา ฟางฟางนั้นเข้าใจดี ตามปริมาณที่ฉินซีใช้นั้น ถึงแม้ว่าคืนนี้จะเอาตัวคนที่เฝ้าประตูนี้โยนลงไปจากตึก เขาก็คงจะไม่ตื่นหรอก จนถึงพรุ่งนี้เช้า เขาถึงจะตื่น และที่สำคัญจะไม่รู้สึกถึงยาเลยสักนิด เพียงแต่จะรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับสบายมากก็เท่านั้น
เพราะฉะนั้นฟางฟางก็ไม่ได้กังวลอะไร แต่กลับตบไหล่ฉินซีเบา ๆ “ฉันยังจำได้ว่า เมื่อก่อนเธอถามฉันว่า ฉันกับพ่อของจ้านเซิน ไม่ได้แต่งงานกันก็คลอดเขาออกมาแล้วใช่ไหม? ”
ฉินซีหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ในตอนนั้นเธอยังเด็ก พูดจาก็ไม่ได้คำนึงถึงอะไร พอได้ยินฟางฟางยอมรับว่าเขาเป็นแม่ของ จ้านเซิน ก็อดไม่ไหวเลยถามไปประโยคหนึ่ง
แต่ว่าจนถึงตอนนี้เธอก็ยังจำท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของฟางฟางในตอนนั้นได้อยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่กล้าถามเรื่องนี้ให้มากความอีก
คราวนี้ฟางฟางกลับเหมือนว่าได้วางอะไรลงแล้วยังไงอย่างงั้น และเปิดปากพูดขึ้นเสียงเบาว่า “งั้นฉันก็จะเล่านิทานเรื่องนี้ให้เธอฟัง”
และก็คือนิทานของฟางฟางกับพ่อของจ้านเซิน
ที่จริงนิทานไม่ถือว่าซับซ้อนมาก
ในตอนแรกฟางฟางเป็นศาสตราจารย์ในมหาลัยระดับสูงแห่งหนึ่งในเมืองA และการพูดบรรยายครั้งหนึ่ง จึงทำให้เจอเข้ากับพ่อของจ้านเซิน
พ่อของจ้านเซินร่างสูงใหญ่หล่อเหลา พูดคุยสนุกสนาน กิริยานุ่มนวล แล้วก็ดึงดูดความสนใจของฟางฟางได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนเริ่มค่อย ๆ สนิทสนมกัน ฟางฟางเองก็ค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงความรู้สึกนี้
พ่อของจ้านเซินกลับยังคงจะใกล้ชิดก็ไม่ใช่จะห่างเหินไปก็ไม่เชิง เขามักจะบอกกับฟางฟางว่า เขามีความลำบากใจ มีเรื่องมากมายที่ไม่มีทางที่จะวางลงได้ และขอให้เธอเข้าใจ
ในช่วงเวลานั้นฟางฟางรักจนโงหัวไม่ขึ้น เหมือนแมลงเม่าที่บินเข้ากองไป ยอมสละทุกสิ่งของตัวเอง แล้วตามพ่อของจ้านเซินไปจากเมืองA
จากนั้นก็เข้าร่วมกับองค์กรพร้อมกัน
“เวลาช่วงที่ฉันเข้าร่วมนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน” น้ำเสียงของฟางฟางนั้นเบามาก “พอดีกับที่มีโครงการทดลองอันหนึ่งใช้เวลาคาอยู่ที่ปากขวดมานานมาก แต่โครงการนี้กลับพอดีที่เป็นแนวทางที่ฉันถนัดมาตลอด”
ฉินซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และคิดถึงเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ฟางฟางยิ้มขึ้นจาง ๆ “เธอเองก็คิดออกแล้วใช่ไหม เขาใช้ความรู้สึกมาหลอกล่อฉัน เพียงแค่ต้องการให้ฉันละทิ้งทุกอย่างด้วยความเต็มใจ แล้วก็เข้าร่วมกับองค์กร”
ฉินซีกัดริมฝีปากเอาไว้
……และก็เป็นนิทานที่โหดร้ายขนาดนี้อีกเรื่องหนึ่ง
แต่ว่าน้ำเสียงของฟางฟางกลับยิ่งพูดยิ่งเบาบาง อย่างกับว่าที่กำลังพูดอยู่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองยังไงอย่างงั้น
“ในตอนนั้นเพราะว่าฉันลาออกจากงานที่มหาวิทยาลัย จึงทำให้แตกหักกับที่บ้าน เกือบจะเป็นการละทิ้งทุกอย่าง แล้วมาถึงองค์กรกับพ่อของจ้านเซิน เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะพบกับความจริงอันนี้แล้ว ฉันก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ จึงได้แต่อยู่ในองค์กรต่อไป ”
ฉินซีทนไม่ไหวจึงเปิดปากถามขึ้น “แต่ว่า……ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ล่ะ? การทดลองมากมายขององค์กรก็หาคนข้างนอกมาช่วยกันทำให้สำเร็จได้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลืองแรงหลอกคุณเข้ามาแบบนี้ก็ได้……”
ฟางฟางยิ้มขึ้นจาง ๆ “เมื่อก่อนฉันก็เคยคิดไม่ตกกับปัญหานี้มาก่อน หรือกระทั่งบางครั้งก็เอาปัญหานี้มาเป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาก็ไม่ได้ไม่รู้สึกอะไรกับฉัน แต่ว่าพอตั้งสติแล้วมาลองคิดดู ที่จริงความจริงนั้นมันง่ายมาก การทดลองที่องค์กรจะหาคนนอกมาช่วยนั้นปกติแล้วเป็นการทดลองที่ไม่ได้สำคัญมากเท่าไหร่ แต่การทดลองที่ฉันเข้าร่วมนั้น ถ้าหากว่าทำสำเร็จ ก็จะมีผลประโยชน์ที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ เขา……เขาอาจจะไม่มั่นใจให้คนนอกองค์กรมาเข้าร่วมด้วยมั้ง”
ในใจของฉินซีมีเปลวไปที่อัดอั้นไว้ แล้วไม่ได้เปิดปากพูดอีก
ฟางฟางไม่ได้สนใจความเงียบขรึมของเธอ ยังคงเล่านิทานของตัวเองต่อไป “เพียงแต่ว่าเวลานั้นถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าที่เขาพาฉันกลับมา และให้ฉันเข้าร่วมการทดลองด้วยทุกอย่างมันช่างดูบังเอิญเกินไป ในใจไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดความสงสัย แต่ว่าเขาอ่อนโยนกับฉันมากเพื่อที่จะให้ฉันอยู่ในองค์กรต่อไป และทำการทดลองต่อไปให้สำเร็จ แทบจะตามใจฉันทุกอย่าง เอาใจฉันจนฉันยินยอมพร้อมใจที่จะปิดตาไว้ และแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า แล้วยอมขายชีวิตเพื่อเขา”
นิทานเรื่องนี้มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างที่บอกไม่ถูก อย่างกับเป็นเรื่องของเหยาหมิ่นและฉินซึ่งเทียนในอีกแบบฉบับหนึ่ง
ฉินซีกัดริมฝีปากจนเป็นแผล เลือดสด ๆ ไหลออกมา ความคาวของเลือดคละคลุ้งอยู่เต็มปาก แต่เธอกลับยังไม่รู้สึก
“รอจนการทดลองของฉันสำเร็จแล้ว ฉันเอาผลงานการทดลองยื่นให้เขาเองกับมือ และยังอยากจะแบ่งปันข่าวดีกับเขาอย่างหนึ่ง……ว่าฉันท้องแล้ว” น้ำเสียงของฟางฟางให้ความรู้สึกบางอย่าง มันราบเรียบเหมือนมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว “แต่ว่าความสนใจของเขาทั้งหมดล้วนอยู่ที่ผลงานการทดลอง ตั้งแต่ที่ฉันปรากฏตัวขึ้น สายตาของเขาก็ไม่เคยแบ่งมาให้ฉันสักวินาที แต่พอรับผลงานไปแล้ว เขาก็จากไปอย่างปลื้มปีติ แม้กระทั่งเวลาที่เพิ่มขึ้นแค่วินาทีเดียวก็ไม่แบ่งให้ฉัน”
“ฉันช่วยเขาหาข้ออ้างมาแก้ตัวอยู่ในใจ พูดว่าเขาจะต้องเป็นเพราะว่าดีใจมากจนเกินไป ทุกอย่างยังคงปกติอยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยรอการพบกันใหม่ในครั้งหน้าด้วยจิตใจที่สงบ……ใช่ พอหลังจากที่กลับมาถึงองค์กรแล้ว ฉันก็โดนจัดแจงให้ไปอยู่ห้องเดี่ยว และแยกกันอยู่กับเขา เขาบอกว่านี่เป็นกฎขององค์กร ฉันก็ไม่ได้โต้แย้ง” น้ำเสียงของฟางฟางยิ่งราบเงียบ ฉินซีก็ยิ่งทุกข์ใจ
“แต่ว่าเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ฉันก็ไม่ได้เจอหน้าเขา” ฟางฟางพูดต่อไป “ฉันรอไม่ไหวแล้ว เลยตรงไปหาเขาถึงที่ แต่กลับโดนบอกให้รู้ว่า เขาออกไปดูงานที่อื่น จะต้องรอครึ่งเดือนถึงจะกลับมา ”
ฟางฟางยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นทีหนึ่ง “ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ฉันนึกว่าเมื่อก่อนเราสองคนเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่เหรอ หรืออย่างน้อยก็เป็นคนรัก แต่ว่าไม่มีคนรักที่ไหนเขาคบกันแบบนี้หรอก หรือว่าเมื่อเทียบกับคนรักแล้ว ยิ่งเหมือนกับหัวหน้ากับลูกน้องซะมากกว่า”
ฉินซีไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง จึงได้แต่เงียบต่อไป
“แต่ว่าฉันไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่รอ รอไปครึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็กลับมา” ใบหน้าของฟางฟางมีสีหน้าของความเจ็บปวดกะพริบขึ้น “ฉันอยากจะเดินไปบอกเขาว่าฉันท้องแล้ว เขาจะได้เป็นพ่อแล้วนะ แต่เขากลับใช้สายตาที่แปลกหน้ามองฉัน และพูดกันฉันว่า ความรู้สึกระหว่างพวกเรานั้นไม่สมควรจะมีอยู่ เพราะฉะนั้นจึงจะแยกจากกันกับฉันอย่างเด็ดขาด”
ฉินซีรู้สึกว่าหัวใจราวกับโดนไฟแผดเผายังไงอย่างงั้น เจ็บแบบไฟลนไฟเผา
ฟางฟางก็ยิ้มขมขื่นขึ้นอีกครั้ง “จากนั้น ฉันก็โดนจัดแจงให้ไปเรียนบทเรียนขององค์กร”