บทที่ 1161 กังวล
ฉินซีวางมือถือลง ผลักประตูออกไปจากห้องนอน
เหยาหมิ่นไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก เมื่อคืนน่าจะนอนสาย ตอนนี้ยังพักผ่อนในห้องนอนอยู่เลย
ฉินซีไม่รบกวนเธอ เดินไปที่ห้องครัวเอง
ก่อนที่ยังไม่ได้เข้าไปในคณะ เธอเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจมาโดยตลอดจริงๆ
แต่ว่าหลังจากเข้ามาในคณะ แม้แต่ความสามารถที่เอาตัวรอดในป่าเขาดงดิบล้วนควบคุมได้ ตอนนี้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันทำอาหารเช้าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้ว
…………เพียงแต่ว่ารสชาติถือว่าไม่ได้อร่อยอะไรมาก
เธอเอาน้ำและข้าวสารวัดตามสัดส่วนเรียบร้อยแล้วก็ใส่เข้าไปในหม้อหุงข้าว กดปุ่มหุงโจ๊ก แล้วไปอาบน้ำ จากนั้นก็ลงไปซื้อกับข้าวนิดหน่อยที่ใต้ตึกค่อยกลับมา ก็เกือบจะได้ทานแล้ว
ดูเวลา ใกล้ถึงเวลาทานอาหารเที่ยงแล้ว ฉินซีตัดสินใจไปตามเหยาหมิ่นออกมาทานข้าว
เธอเพิ่งเดินไปที่หน้าประตูห้องนอนของเหยาหมิ่น ยังไม่ได้เคาะประตูด้วยซ้ำ ประตูก็เปิดออกมาจากข้างในแล้ว
“แม่คะ” ฉินซีมองหน้าเหยาหมิ่นอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ไม่สบายรึเปล่าคะ? สีหน้าแย่จังเลยค่ะ?”
เหยาหมิ่นส่ายหน้าและฝืนยิ้ม:” ไม่ใช้จ้า แค่เมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนดีๆก็แค่นั้นเอง”
ฉินซีพยักหน้าแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หันไปพูดว่า:” หนูหุงโจ๊ก อยากตามแม่ไปทานซะหน่อยนะ”
เหยาหมิ่นมองขึ้นไปมีความประหลาดใจ:” หนู……… ทำอาหาร? “
สีหน้าของเธอมองขึ้นไปมีความประหลาดใจและมีความลังเลปะปนกันอยู่ เหมือนกับว่าเป็นเพราะเธอทำอาหารเป็นเรื่องนี้เธอเองทั้งเสียใจและรู้สึกประทับใจ แต่ว่ามีความสงสัยว่าอาหารมื้อนี้ทานได้รึเปล่านะ
ฉินซียิ้มแย้มออกมา:” ก็แค่ใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าหุงโจ๊กนิดหน่อย จะไปยากอะไรคะ แม่ไปล้างมือเถอะคะ หนูไปตักออกมา”
เหยาหมิ่นยิ่งกว่าฉินซีเสียอีกไม่เคยทำงานบ้านและทำอาหารแม้แต่ครั้งเดียว สีหน้ายังมีความสงสัย แต่ว่ายังคงทำตาม
ฉินซีเข้าไปตักโจ๊กในห้องครัวออกมา ชิมไปคำนึงแบบง่ายๆ รสชาติดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้นิดหน่อย และหาจานหลายใบออกมาใส่กับข้าวที่ซื้อมาเมื่อสักครู่ วางไว้บนโต๊ะอาหาร หน้าตาเหมือนกับอาหารมื้อนึงแล้ว
ได้ยินเสียงออกมาของเหยาหมิ่น ฉินซีเงยหน้าขึ้นมายิ้มแย้มให้กับเธอ
ยิ้มแย้มพูดว่า:” นั่งคะ”
เหยาหมิ่นชิมไปคำนึงอย่างสงสัยหัวคิ้วถึงค่อยๆผ่อนคลาย เงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉินซี:” อร่อยอยู่นะ เรียนทำอาหารเมื่อไหร่เนี่ย?”
ฉินซีหยุดนิ่งไปสักพัก และผายมือ:” เรียนตอนนี้และขายตอนนี้เลยค่ะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่คะ”
เธอพูดความจริงไม่ได้ ได้แต่ห้าข้ออ้างแบบมั่วๆเพื่อโกหกเหยาหมิ่น
สายตาของเหยาหมิ่นเปลี่ยนไป ชัดเจนมาก……….จมลงไปในความคิดที่ติดลบของเธออีกแล้ว
……….เพราะเธอแท้ๆ ฉินซีเป็นถึงคุณหนู ต้องมาเรียนทำอาหาร
เหยาหมิ่นไม่ได้ดูถูกการทำอาหาร แต่ว่าเข้าครัวทำอาหารเพราะความชอบ และเข้าครัวเพราะถูกความเป็นอยู่บีบบังคับนั้น ชัดเจนมากไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
ฉินซีรู้สึกอารมณ์ของเหยาหมิ่นผิดไปจากปกติ แต่ว่าคิดไม่ถึงเธอคิดไปไกลขนาดนี้แล้ว ได้แต่คีบกับข้าววางไว้ในถ้วยของเธอ:” ไม่อร่อยก็ต้องทานเยอะๆหน่อยค่ะ”
เหยาหมิ่นฝืนยิ้ม และพยักหน้า
ตอนที่ทั้งคู่จวนจะทานข้าวเสร็จเรียบร้อย จู่ๆฉินซีถึงนึกขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเหยาหมิ่นว่า:” แม่คะ อีกไม่กี่วันหนูอาจจะต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดนะคะ”
คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ฉินซีรู้สึกว่า วันหลังมีเรื่องอะไรต้องทักทายกับเหยาหมิ่นล่วงหน้าก่อน เพื่อไม่ให้เธอคิดเหลวไหลและคิดฟุ้งซ่าน และฟังคำพูดคนอื่นแบบหูเบา
เหยาหมิ่นเงยหน้าขึ้นมามองเธอ:” ทำงานต่างจังหวัด?”
ฉินซีพยักหน้า:” อานหยันช่วยหนูหางานงานนึง ไปถ่ายรูปที่โรงนิตยสารโรงนึงในประเทศT”
เหยาหมิ่นขมวดคิ้ว หน้าตาเหมือนอยากพูดแต่ห้ามใจไว้ สักพักถึงพูดว่า:” ประเทศT……..”
ฉินซีรู้ว่าเธอคิดมาก
ถึงแม้วิวธรรมชาติที่ประเทศTดีมากทีเดียวก็ตาม แต่ว่าชื่อเสียงด้านความปลอดภัยยอดแย่มาโดยตลอด อากาศก็แย่ ได้ยินมาว่าคนที่ปรับตัวไม่ได้ ยากที่จะผ่านพ้นไปได้สองวัน
แต่ว่าการฝึกฝนที่คณะไม่ได้เสียแรงไปเปล่าๆ สำหรับฝีมือด้านความปลอดภัยของฉินซีในตอนนี้ แทบจะไม่ใช่ปัญหา สำหรับอากาศ………ร่างกายของเธอในตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่ว่าตัวเธอเองรู้ดีทุกอย่าง ไม่ได้แปลว่าเหยาหมิ่นก็รู้ดีด้วย
เธอพูดความจริงไม่ได้ ได้แต่พยายามพูดอย่างจริงใจว่า:” น่าจะไม่มีปัญหาอะไร อย่าห่วงเลยค่ะ”
ชัดเจนมากเหยาหมิ่นไม่เป็นห่วงไม่ได้ แต่ว่าเธอก็รู้ดี ฉินซีต้องไปหาเงิน ถึงจะมีกินมีใช้ เพื่อให้พวกเธออยู่รอดต่อไปได้
…………..ทำไมตัวเองไม่ได้เรื่องขนาดนี้นะ?”
ความคิดของเธอไหลไปในทางที่ติดลบอีกแล้ว
ฉินซีเห็นว่าเธอไม่เอ่ยปากอีกแล้ว จึงรู้สึกว่าเธอน่าจะยอมรับแบบเงียบๆแล้ว จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้อีกต่อไป และลุกขึ้นมา
เหยาหมิ่นมองดูร่างเงาของเธอ ถอนหายใจออกมาแบบเงียบๆ
……………
ถึงแม้ได้รับปากงานที่ต่างจังหวัดครั้งนี้แล้วก็ตาม แต่ว่าหวังพึ่งแต่งานครั้งนี้ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่ฉินซีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่เหยาหมิ่น ก็ออกไปหางานทำด้วยเช่นกัน
เหยาหมิ่นออกไปตอนเที่ยงของวัน หางานที่ร้านวาดรูปร้านนึงในละแวกที่พวกเธอพักอยู่ ยังไงซะเป็นละแวกที่พวกเธอคุ้นเคยที่สุด ฝ่ายตรงข้ามรับเธอทำงานเร็วมาก ส่วนฉินซีอยู่ใต้การแนะนำของอานหยัน เริ่มถ่ายรูปให้กับโรงนิตยสารหลายที่แล้ว
เมื่อก่อนเธอถ่ายรูปตามใจชอบมาแต่ไหนแต่ไร วันนั้นจู่ๆก็พากล้องถ่ายรูปออกจากบ้านด้วย แล้วก็ยังเห็นเมฆที่สวยงามอีกด้วย จึงถ่ายบันทึกไว้แบบเรื่อยเปื่อย แต่ว่าตอนนี้จะเรื่อยเปื่อยต่อไปไม่ได้เสียแล้ว
ขณะนี้เธอถึงได้รู้ด้วยตัวเอง ความชอบกลายมาเป็นรูปแบบที่เลี้ยงชีพตัวเองไปเสียแล้ว ช่างทรมานจริงๆ
เพียงแต่ว่าลองคิดกลับไป ความทรมานแบบนี้เมื่อเทียบกับถูกคนขวางไว้ที่หน้าประตูและความทรมานที่ทานไม่อิ่มท้อง ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก
เพราะฉะนั้นฉินซีจึงกัดฟัน และยืนหยัดต่อไป
ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์แล้ว เพื่อไล่พวกทวงหนี้ออกไป เงินที่ฉินซีได้มาจากการขายรถยนต์เกือบจะใช้จ่ายหมดแล้ว
ช่วงนี้ในคณะน่าจะยุ่งอยู่กับเรื่องของฟางฟาง แทบจะไม่ได้ไปหาเธอเลย ถูกอกถูกใจฉินซีพอดี
ถึงแม้ค่าตอบแทนสูงมาก แต่ว่าเธอไม่อยากมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคณะใดๆทั้งสิ้นแล้ว
เป็นอย่างเงียบๆแบบนี้ มาถึงวันที่ฉินซีจะไปที่ประเทศTก่อนหนึ่งวัน
เธอนั่งเก็บสัมภาระของตัวเองอยู่ในห้องนอน ไม่ได้ให้เหยาหมิ่นเข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะว่ากลัวเหยาหมิ่นดูออกที่เธอเคยฝึกฝนอยู่ในคณะ จะเกิดความสงสัยรูปแบบที่แคล่วคล่องเกินไป แต่ว่าไม่นานนัก เหยาหมิ่นกลับมาเคาะประตูแล้ว
“ฉินซี” เสียงของเธอไม่นิ่งนัก สีหน้าก็ขาวซีด “ประเทศT…….. แผ่นดินไหว”
มือที่เก็บสัมภาระของฉินซีหยุดชะงักไป เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเหยาหมิ่น:” แผ่นดินไหว?”
เหยาหมิ่นใช้มือชี้ไปทีวีที่วางอยู่ข้างนอก ข้างในกำลังเปิดข่าวสารเร่งด่วน เป็นข่าวสารของประเทศTที่ประสบภัยกับแผ่นดินไหว
ฉินซีไม่ได้ดูภาพหน้าจออย่างละเอียดถี่ถ้วน คิดๆดู ยกมือขึ้นมาโทรศัพท์ไปที่โรงนิตยสาร
ชัดเจนมากคนในโรงนิตยสารได้ดูข่าวสารแล้ว แต่ว่าน้ำเสียงการพูดจาอ้ำๆอึ้งๆ:” เมืองที่เราจัดวางลงเครื่องระยะห่างจากที่ที่แผ่นดินไหวไม่ใกล้มากนัก ไปที่นั่นไม่มีปัญหาอะไร……..”
ฉินซีฟังปุ๊บก็เข้าใจปั๊บ โรงนิตยสารทางโน้นไม่มีท่าทีจะยกเลิกการถ่ายรูปครั้งนี้
เธอเองก็ไม่ได้คิดจะยกเลิกอย่างชั่วคราว เพราะฉะนั้นจึงพยักหน้าและตอบรับไปเรียบร้อย
รอเธอวางสาย และหันหน้ากลับมากลับเห็นสีหน้าของเหยาหมิ่นที่ยิ่งอยู่ยิ่งขาวซีด
” แม่คะ……..” ฉินซีรู้ดีเธอเป็นห่วงตัวเอง พยายามเอ่ยปากอธิบาย “ที่ที่หนูไป ไม่ได้ใกล้กับที่ที่แผ่นดินไหว…….”