บทที่ 1169 ให้เนื้อที่เต็มที่
ลู่เซิ่นที่อยู่ฝั่งนี้นั่งไม่ติด ในที่สุดเวินจิ้งก็ได้เก็บข้าวของเสร็จแล้ว
ทั้งสองคนได้เจอและทักทายกับคุณปู่มู่ เวินจิ้งกับมู่เฉิงเหมือนยังได้พูดคุยกันหลายคำ แต่ลู่เซิ่นไม่มีอารมณ์จะไปฟังแล้ว
เขาแค่ยืนอยู่ข้างๆ รอให้เวินจิ้งพูดคุยกับมู่เฉิงเสร็จ ก็รีบเดินออกไปข้างนอกทันที
ลู่เซิ่นไม่มีอารมณ์รับมือคำถามของเธอ แค่สั่งการหลินหยังที่เดินมา: “ให้บ้านใหญ่เตรียมเครื่องบินเดี๋ยวนี้ ฉันจะบินกลับประเทศF”
หลินหยังค่อนข้างประหลาดใจ แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพของงาน ทำให้เขาไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ ก็ได้ตอบโดยพยักหน้า
อารมณ์ไม่ดีของลู่เซิ่น แม้แต่คนขับรถก็สังเกตเห็นแล้ว เขาเหยียบคันเร่งสุดฤทธิ์ รถก็ได้เพิ่มความเร็วอย่างไว ล่วงหน้าสิบกว่านาทีก็ถึงบ้านตระกูลลู่แล้ว
ลู่เหวยกับสูหยิงได้ยินข่าวตั้งนานแล้ว พวกเขาได้ยืนรอที่หน้าประตู พอเห็นเขาปุ๊บก็เปิดปากถาม: “หลินหยังโทรมาบอกว่าลูกจะกลับไป? ป่านนี้แล้ว ทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับเถอะลูก?”
เขาเสียเวลาไปกับเวินจิ้งไปครึ่งค่อนวัน ตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
แต่ว่าลู่เซิ่นกลับไม่อยากอาหารเลย เขาได้ผายมือปฏิเสธ
“ผมมีเรื่องด่วนต้องกลับไปครับ ไม่อยู่ทานข้าวแล้วครับ” ระหว่างคิ้วของเขามีความกังวลใจเสี้ยวหนึ่ง ดูแล้วราวกับว่ามีเรื่องเร่งด่วนมากยังไงอย่างงั้น
สูหยิงเห็นสถานการณ์แล้ว นึกแค่ว่าบริษัทลู่ซื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น รั้งเขาไว้ก็คงไม่ดี ได้แต่พยักหน้าและพูด: “โอเค งั้นลูกให้พนักงานสายการบินจัดเตรียมอาหารให้ลูกหน่อยก็แล้วกัน”
ลู่เซิ่นพยักหน้าอย่างลวกๆ เงยหน้าอยากอำลาลู่เหวย แต่กลับรู้สึกแววตาของเขาดูเหมือนจะมีความหมายที่ลึกซึ้ง
เหมือนรู้ว่า……ทำไมเขาถึงได้ใจร้อนเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนี้
แต่ว่าลู่เซิ่นไม่มีเวลามาคิดมาก อำลากับพ่อแม่เสร็จอย่างรีบร้อน ก็ได้ไปที่ลานจอดเครื่องบินแล้ว
เวินจิ้งรู้สึกร่างกายตัวเองไม่ดี ไม่สะดวกเจอหน้ากับพ่อแม่ของลู่เซิ่น ดังนั้นจึงได้ขึ้นเครื่องพร้อมกับหลินหยังแต่เช้า หลังจากลู่เซิ่นมาถึง เครื่องบินก็ได้บินขึ้นฟ้าอย่างไว
หลินหยังได้เตรียมห้องในสุดของเครื่องบินให้กับเวินจิ้ง เธอก็สบายเลย หลังจากทักทายกับลู่เซิ่นเสร็จก็ได้กลับไปที่ห้องแต่เช้าแล้ว ทำท่าเหมือนจะไม่ออกมาข้างนอกอีก
เธอย่อมรู้อยู่แล้วว่าลู่เซิ่นกับหลินหยังมีเรื่องจะคุยกันแน่นอน ดังนั้นจึงได้ให้เวลาพวกเขาอย่างเต็มที่
หลังจากพนักงานสายการบินเสิร์ฟอาหารเสร็จ ก็ได้กลับไปที่ห้องนักบิน ลู่เซิ่นเขี่ยอาหารที่อยู่ตรงหน้า แต่เห็นได้ชัดเจนว่าทานอะไรไม่ลง
หลินหยังดูสีหน้าแววตาที่ผิดปกติของลู่เซิ่นออก ลังเลไปหลายวินาที แต่ก็ได้สอบถามอย่างระมัดระวัง: “ประธานลู่ครับ ครั้งนี้กลับไปอย่างรีบร้อนขนาดนี้ เป็นเพราะบริษัทลู่ซื่อมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
ลู่เซิ่นจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไม่ได้ตอบคำถามเขา
เขากำลังนึกย้อนอย่างละเอียดถึงการเข้าหากันกับฉินซีในหลายวันก่อน เพื่อหวังอยากหาเบาะแสและอธิบายว่าทำไมฉินซีต้องโกหกเขา
เขาแน่ใจมาก ตอนที่เขาจะจากไป ฉินซีก็ยังดูปกติมากอยู่
ตอนนั้นถ้าการไม่อยากแยกจากที่อยู่ในแววตาของฉินซีเป็นการเสแสร้งขึ้นมา งั้นถ้าเธอไม่ไปเป็นนักแสดงก็เสียดายแล้ว
แต่ว่าตัวเองก็ออกมาแค่ไม่กี่วันเอง สามารถเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้?
ลู่เซิ่นพบว่าตัวเองตอบคำถามนี้ไม่ออก
ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองหนาน ตัวเขาเองรู้สึกกินปูนร้อนท้อง ตอนที่โทรคุยกับฉินซีปุ๊บปั๊บก็วางสายแล้ว แม้แต่ถามก็ยังไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น
สิ่งเดียวที่รู้ ก็คือเธอกำลังพยายามในการเตรียมนิทรรศการภาพถ่ายของตัวเองอยู่
หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับนิทรรศการภาพถ่าย?
แต่ว่า จัดนิทรรศการภาพถ่ายไม่จำเป็นต้องปกปิดความเคลื่อนไหวกับตัวเองนี่น่ะ?
ทีนี้หัวใจของลู่เซิ่นเต็มไปด้วยความร้อนรน สงบจิตคิดอย่างละเอียดไม่ได้ด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่นใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปี นี่คือครั้งแรกที่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกขนาดนี้
นี่คงเป็นกรรมตามสนองที่ตอนเย็นเขาหัวเราะเยาะมู่วี่สิงกับเวินจิ้งมั้ง
ถึงทีเขาเอง เขาถึงจะรู้ว่าพอเจอความรักแล้ว เดิมทีตัวเองเป็นคนยังไง มันไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้นแล้ว
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วแน่น
ที่จริงเอาทุกอย่างมาปะติดปะต่อกัน ก็สามารถเห็นเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว
ฉินซีอาศัยเหตุผลที่ตัวเองไม่รู้ ปิดบังตัวเองอ้างเท็จว่าไปหาอานหยัน ต่อมาก็โทรหาเธอไม่ติด ดูแล้วเหมือน…….ฉินซีเพื่อจะไปจากตัวเอง เลยพูดคำลวงขึ้นมา
แต่ว่าลู่เซิ่นไม่ยอมเชื่อความเป็นไปได้นี้ เขาบังคับตัวเองให้เปลี่ยนความคิด
ไม่เข้าใจทำไมเธอต้องหลอกตัวเอง งั้นก็หาเธอเจอแล้วถามให้รู้ชัดไปเลย
เพียงแต่……….เธออยู่ไหนกันแน่?
ฉินซีจะไปไหนได้?
ลู่เซิ่นพบว่าตัวเองก็ไม่มีคำตอบเลย
เขาไม่รู้ว่าฉินซีจะไปไหนได้
ตอนที่ลู่เซิ่นเจอกับฉินซี อยู่ในสภาพที่ไร้บ้านให้กลับ ทีนี้จะไปจาก แล้วจะไปไหนได้ล่ะ?
ทำไมถึงไป ตอนนี้อยู่ไหน สองคำถามนี้เหมือนภูเขาใหญ่สองลูกที่ทับอยู่ในอกของลู่เซิ่นอย่างหนักหน่วง ทำให้เขาหายใจไม่ออก ยิ่งสงบสติอารมณ์ไม่ได้
ส่วนหลินหยังถามคำถามนี้ออกมาไม่ได้คำตอบ ก็ถือว่าอยู่ในการคาดการณ์ของเขา
แต่ดูตรงหน้ากับข้าวก็จะเย็นหมดแล้ว ลู่เซิ่นก็ยังไม่แตะต้องเลยสักคำ เขาจึงจำเป็นต้องย้ำเตือนอีกครั้ง: “ประธานลู่ครับ ให้พนักงานบนเครื่องเปลี่ยนกับข้าวให้ท่านใหม่มั้ยครับ?”
ในที่สุดครั้งนี้ลู่เซิ่นถึงได้ยินคำพูดของเขา เงยหน้ามองเขาไปหลายวินาที จู่ๆถึงเปิดปากพูด: “หลินหยัง ช่วยฉันติดตามโลเคชั่นของฉินซีจากมือถือหน่อย”
หลินหยังอึ้งเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้ว
ลู่เซิ่นผิดปกติขนาดนี้……..ถ้าสาเหตุเป็นเพราะฉินซีล่ะก็ งั้นก็อธิบายง่ายกว่าเยอะเลย
เขาก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ว่าทำไมต้องไปติดตามโลเคชั่นผ่านมือถือของฉินซี เพียงแค่อธิบายว่า: “สามารถติดตามโลเคชั่นได้ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถหาเจอหรือเปล่านะครับ”
ลู่เซิ่นเองก็ย่อมรู้อยู่แล้ว
เมื่อกี๊เขาโทรศัพท์ไปยังไงก็โทรไม่ติด ต่อมาพอโทรไปอีกก็ปิดเครื่องแล้ว ถ้าฉินซีไม่อยากให้เขาหาเบาะแสเจอ งั้นก็ต้องจัดการมือถือทิ้งแน่นอน
แต่ถึงจะมีความหวังแค่เสี้ยวเดียวก็เถอะ เขาก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด
เขาจะต้องหาฉินซีเจอแน่นอน!
ดังนั้นเขาจึงแค่พยักหน้าให้กับหลินหยัง: “พยายามไปตรวจสอบดูก็พอ”
หลินหยังโต้ตอบยาก จึงได้แต่ตอบตกลง
ออกไปโทรศัพท์ที่ด้านนอกไปหลายสาย สุดท้ายก็ก้มหน้าเดินเข้ามา
“ประธานลู่ครับ มือถือของคุณผู้หญิงได้ปิดเครื่องไปแล้วครับ โลเคชั่นของตอนนี้ก็ไม่ชัดเจนแล้ว แต่ว่า…….ร่องรอยของก่อนหน้านั้นก็สามารถตรวจสอบได้อยู่ครับ”
ลู่เซิ่นราวกับว่าเห็นแสงสว่างของความหวัง เงยหน้ามองไปที่เขาอย่างกะทันหัน: “ร่องรอยของก่อนหน้านั้นอยู่ที่ไหน?”
ในขณะนี้ฝ่ายตรงข้ามส่งรูปมาให้หลินหยังพอดี เขาไม่กล้ารีรออีก รีบยื่นไปให้ลู่เซิ่นดูในทันที
ลู่เซิ่นแค่มองแวบเดียว สีหน้าก็ค่อยๆเยือกเย็นลงมาอีกครั้ง
โลเคชั่นของแผนที่ง่ายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เขาแค่มองแวบเดียวก็สามารถดูออกแล้ว
เดินทางออกมาจากรีสอร์ทชิงหยวน ถึงบ้านของอานหยัน
ต่อมา โลเคชั่นของมือถือก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลย
…………….ดูท่าคงจะเอามือถือทิ้งไว้ที่บ้านของอานหยัน
สีหน้าของลู่เซิ่นยิ่งอยู่ยิ่งเยือกเย็น
ไม่นึกเลยว่าจะเตรียมการถึงขั้นนี้เลย