บทที่ 1172 เตรียมพร้อมไว้แล้ว
“เธอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ทำอะไรต่ออีกมั้ย” ลู่เซิ่นตัดสินใจที่จะหยุดความสงสัยนี้ไว้ก่อน แล้วหันไปถามอีกคำถามนึง
พ่อบ้านส่ายหน้า:“ ไม่ได้ทำอะไรแล้วครับ คุณผู้หญิงกินข้าวเสร็จก็เดินขึ้นข้างบนไป แล้วยังบอกว่าคืนนี้รู้สึกไม่สบาย จะขอพักผ่อนเร็วหน่อย ไม่ต้องให้พวกเราไปรบกวน”
ลู่เซิ่นหลับตาลง ไม่ได้พูดอะไร
พ่อบ้านก็เลยพูดต่อ:“ ตอนที่เจอเธออีกครั้ง ก็คือตอนที่เธอลงมาจากตึกตอนค่ำบอกว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนอานหยัน”
ลู่เซิ่นกลับรู้สึกว่า ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้นเป็นแน่
เพียงแต่ว่าตอนนี้ เมื่อเทียบข้อสงสัยเหล่านี้แล้ว มีเรื่องสำคัญกว่านี้ต้องทำ
ไม่ว่าเธอจะออกไปอย่างสมัครใจ หรือถูกวางยาแล้วลักพาตัวไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องหาตัวเธอให้เจอ
อย่างไรก็ตาม ลู่เซินต้องได้ยินเธอพูดทุกอย่างจากปากของเธอเอง
แม้ว่าเธออยากจะไป ก็ไม่ควรที่จะจากไปอย่างไม่บอกไม่กล่าวใดๆ แบบนี้
แต่ว่า……จะหาเธอได้จากที่ไหนล่ะ?
ลู่เซิ่นคิดไม่ออกว่าฉินซีจะไปที่ไหนได้บ้าง
ตอนเธอมาที่รีสอร์ทชิงหยวน ห้องเล็กๆที่เคยเช่ากับเหยาหมิ่นก็คืนห้องไปแล้ว จากนั้นบอกว่าจะย้ายออกไป……
ใช่!บ้านหลังใหม่ที่จะย้ายไป
ลู่เซิ่นหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาอาหยันอีกครั้ง
ครั้งนี้อานหยันรับโทรศัพท์ทันที
“ลู่เซิ่น”เสียงของเธอกังวลใจมาก“นายหาฉินซีเจอรึยัง?ทำไมฉันโทรหาเธอไม่ติดเลย หาก็หาไม่เจอ”
ใจของลู่เซิ่นห่อเหี่ยวลง
เขารู้ดีคำว่า“หา”ของอาหยันนั้นต้องใช้เส้นสายจากเครือข่ายข่าวกรองของสำนักข่าว
เว็บไซต์ของสำนักข่าว เขายังพอเข้าใจบ้าง
ถึงแม้ไม่ถึงกับว่าไม่มีจุดบอดเลย แต่อย่างน้อย……ก็ไม่มีจุดรั่วไหลใหญ่ๆหรอก
แม้แต่เว็บไซต์ของสำนักข่าวก็ยังหาโลเคชั่นของเธอไม่เจอ……
ลู่เซิ่นปฏิเสธที่จะคิดถึงสิ่งที่แย่ที่สุดที่อาจเป็นไปได้ พยายามทำให้เสียงของตัวเองสงบลงมาบ้าง:“ ก่อนหน้าที่ฉินซีบอกว่าเช่าบ้านอยู่ข้างนอก เธอรู้มั้ยว่าอยู่ที่ไหน?”
อานหยันตอบทันทีว่า:“ ฉันให้คนไปดูมาแล้ว ไม่มีค่ะ”
ความหวังอันริบหรี่ที่ลู่เซิ่นที่เพิ่มขึ้นก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว หน้าเขายิ่งอยู่ยิ่งเย็นชา:“ เธอคิดออกบ้างมั้ยว่าเธอจะไปที่ไหนได้อีกบ้าง?”
พอถึงตอนนี้ เขาถึงพบว่าเขาเองที่ไม่รู้จักฉินซีมากพอ มิฉะนั้นในสถานการณ์แบบนี้ ปัญหาแบบนี้ได้แต่ไปถามคนอื่น
แต่อานหยันยังคงให้คำตอบที่ไม่แน่นอน
“สถานที่ที่ฉันคิดออกก็ให้คนไปดูมาแล้ว”มีความวิตกกังวลเหลือทนในน้ำเสียงของเธอ“10ชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่มีแม้แต่วี่แววเลยสักนิด”
แม้ว่าจะเตรียมพร้อมสำหรับผลลัพธ์นี้ แต่ฟังอานหยันพูดแล้ว ยังคงทำให้ลู่เซิ่นกังวลมากขึ้น
แต่เขารู้ดี ยิ่งตกอยู่สถานการณ์แบบนี้ ยิ่งต้องใจเย็น
แล้วเขาก็กระแอมเสียงใส แล้วเอ่ยปากพูด:“ ฝั่งฉันจะเริ่มจับจุดจากตำแหน่งสถานที่เริ่มต้นของเธอดู มีอะไรคืบหน้า ฉันจะติดต่อเธอไป”
อานหยันตอบกลับทันที:“ ได้!ทางนี้ฉันก็เตรียมค้นหาอีกรอบ!เราต่างแจ้งความคืบหน้าพร้อมกัน!” ทั้งสองไม่มีเวลาสำหรับคุยเรื่องไร้สาระกัน
ลู่เซิ่นวางสาย เขาหันหน้าไปมองหลินหยังที่ยืนอยู่ข้างๆ
หลินหยังสมกับเป็นผู้ช่วยที่ติดตามเขามานาน แค่ลู่เซิ่นกับอานหยันโทรคุยกัน เขาก็ติดต่อประสานงานเรียบร้อยแล้ว แค่เห็นลู่เซิ่นหันมา เขารีบพูดทันทีว่า:“ เตรียมพร้อมกับการสะกดรอยตามแล้วครับ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า:“ งั้นก็เริ่มเลย”
ลู่เซิ่นจะใช้วิธีการสะกดรอยตาม ใช้กล้องวงจรที่สามารถตรวจจับภาพและจดจำใบหน้าคนได้ เพื่อค้นหาการเคลื่อนไหวของฉินซี
กล้องวงจรตรวจจับใบหน้าที่ทันสมัยตอนนี้ เพียงแค่ฉินซีโผล่หน้ามา
กล้องก็สามารถตรวจจับใบหน้าเธอได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่า วิธีนี้ก็ต้องมีข้อเสีย
ถ้าฉินซีตั้งใจปิดบังใบหน้าตัวเองล่ะก็ ผลของการสะกดรอยตามนั้นก็จะลดประสิทธิภาพลง
แต่ว่า……หลินหยังกลับได้ให้ข่าวดีมาข่าวนึง
“คนที่ไปสอบถามเพื่อนบ้านของอานหยันได้คำตอบว่า รถที่คนขับรถทิ้งไว้หายไปครับ” หลินหยังได้รับข่าว จึงรีบแจ้งให้ลู่เซิ่นทราบ“แล้วได้ไปตรวจสอบจอภาพล่าสุด หากคุณผู้หญิงขับรถคันนี้ไป ความเป็นไปได้ในการค้นหานั้นมีโอกาสมากขึ้น”
ลู่เซิ่นพยักหน้า แต่ไม่ได้ตั้งความหวังเลยแม้แต่นิด
ไม่ว่าฉินซีจะจากไปด้วยความสมัครใจ หรือไม่สมัครใจก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะปล่อยให้รถเปิดเผยเบาะแสของตัวเอง
แม้จะสามารถติดตามเบาะแสของรถได้ ส่วนมากจะติดอยู่ที่ครึ่งทางแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเธอโดยตรง
หลินหยังไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่สืบสวนและเฝ้าติดตาม ปล่อยลู่เซิ่นนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว
ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน เขาอยู่บ้านใหญ่ในเมืองหนานยังคิดด้วยความดีใจอยู่เลยว่าจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้ฉินซีให้ยังไง
คิดไม่ถึงว่าหลายสิบชั่วโมงหลังจากนั้น ฉินซีก็หายไปจากโลกของเขา
ถ้านับเวลาแล้ว ตอนที่ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่แจ้งข่าวงานแต่งงานให้ฉินซีทราบโดยเร็ว ฉินซีคงเตรียมการวางแผนจะจากไปแล้วมั้ง?
โลกใบนี้……ช่างบ้าบอคอแตกสิ้นดี
อาจเป็นเพราะว่าสีหน้าของเขาดูเศร้าหมองอย่าเห็นได้ชัดเจน พ่อบ้านอดไม่ได้ที่จะเดินไป ยืนนิ่งข้างๆเขา
เขาช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่พยายามที่จะลองเอ่ยปาก:“ ประธานลู่ครับ ท่าน……ไปอาบน้ำก่อนมั้ย ไม่แน่ถ้าออกมา อาจได้รับข่าวดีเรื่องคุณผู้หญิง?”
น้ำเสียงของเขาพูดเหมือนกำลังกล่อมเด็ก ลู่เซิ่นผ่านวัยที่จะมาปลอบโยนด้วยคำพูดเช่นนี้แล้ว
แต่เขาก็ยืนขึ้น
รออยู่ตรงนี้อย่างแห้งเหี่ยวก็ไม่มีประโยชน์
เขาลุกขึ้นไปข้างบนดูด้วยตัวเอง บางทีอาจพบเบาะแสที่เป็นประโยชน์
คิดแบบนี้แล้ว เขาไม่ให้พ่อบ้านตามเขาไป เดินขึ้นตึกไปด้วยตัวเอง
เขาไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปที่ห้องนอนตัวเอง แต่ไปที่ห้องมืดของฉินซี
เขาจำได้ดี ตอนฉินซีย้ายเข้ามาใหม่ๆ เป็นเหมือนแขกอย่างเต็มตัว ไม่กล้าขออะไรเลย เกรงกลัวไปหมด ใช้เวลาค่อนข้างนาน จนสามารถปรับตัวและคุ้นชิน
ส่วนที่เธอขอมีห้องมืดนั้น เป็นคำขอแรกที่เธอต้องการ
เขายังจำได้ตลอดวันนั้นที่เธอเสียเวลาอยากพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดไปกับหนึ่งมื้ออาหารวันนั้น ในที่สุดหลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จ ก็รวบรวมความกล้าหาญเอ่ยปากพูดว่า:“ลู่เซิ่น คุณบอกว่าให้ฉันอยู่ที่นี่ ก็ทำตัวให้เหมือนอยู่บ้านตัวเอง ถูกมั้ย?”
ลู่เซิ่นดูออกว่าเธอกำลังจะขอร้องตัวเองอยู่ แต่ก็ยังพยักหน้าโดยไม่ลังเล:“ ใช่ ”
“ถ้าอย่างนั้น……ฉันขอห้องมืด1ห้อง” ในที่สุดฉินซีก็ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด แสดงออกถึงความโล่งอก
ถ้าไม่มีห้องมืด ฉันล้างภาพถ่ายไม่สะดวก
ลู่เซิ่นไม่ค่อยรู้เรื่องการถ่ายภาพมากนัก แต่เป็นคำขอของฉินซี เขาย่อมไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างง่ายดาย:“ ได้ คุณบอกกับพ่อบ้านได้เลย”
ฉินซีทำตาโตตกใจเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาพูดง่ายขนาดนี้
แต่เธอก็ตอบสนองอย่างเร็วมาก รีบลุกขึ้นยืน เธอดูกลัวที่ลู่เซิ่นจะกลับคำพูดของตัวเอง:“ขอบคุณมากๆนะคะ!”
ลู่เซิ่นมองหน้าเธอที่ดูตื่นเต้นมาก มีอีกความคิดที่ไม่ดีเข้ามาในหัวอีก
“คุณพูดคำขอบคุณอย่างง่ายๆไม่กี่คำ แค่นี้หรอ?”