บทที่ 1179 รับไม่ได้
แต่เดิมผู้หญิงคนนั้นหันหลังให้กับทุกคน ก็เลยยิ่งไม่ได้ระวังอะไรเลย เธอเอามือคาดเอวและกำลังเพลิดเพลินกับสายตาของผู้คน จู่ๆเธอก็รู้สึกถึงเส้นผมตรงหลังหัวตัวเองถูกกระชากแรงๆ
เธอเซไปข้างหลัง เกือบจะล้ม
“ใครน่ะ! ทำอะไร!” เธอกรีดร้อง
แต่ฉินซีกลับไม่ให้โอกาสในการพูดแก่เธอ เพียงแค่หน้าบึ้ง มือนึงดึงเส้นผมเธอไว้ อีกมือนึงยกขึ้น แล้วตบหน้าเธออย่างแรง
ถึงแม้ฉินซีจะดูผอมและอ่อนแอ แต่เธอไม่ใช่สาวน้อยธรรมดาเลยนะ ฝึกฝนในองค์กรตั้งหลายปี ไม่ได้เล่นๆนะ
เพราะอย่างนั้นเธอตบลงไปแบบไม่ออมแรงเลยแม้แต่นิดเดียว หน้าของผู้หญิงคนนั้นได้เอียงไปข้างๆทันที แล้วได้กรีดร้องออกมา:“ใครน่ะ! ทำอะไร! ปล่อยฉัน!”
แต่ฉินซีเหมือนจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เธอจ้องมองผู้หญิงคนนั้น ในสายตาเต็มไปด้วยความแค้น
หรือกระทั่งจิตสังหาร
ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ากลับมา แล้วได้เห็นสายตาของฉินซีพอดี สายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของฉินซีทำให้เธอกลัว และกรีดร้องขึ้นมาทันที:“จะฆ่าคนแล้ว! ช่วยด้วยค่ะ!”
พอเธอกรีดร้องแล้ว ตำรวจที่ยังไม่รู้ตัวในเมื่อกี๊ได้สติกลับมาทันที แถมยังเป็นตำรวจที่หนุ่มสุดคนนั้นรู้ตัวเป็นคนแรก และได้รีบพุ่งเข้าไปตรงหน้าฉินซี แล้วจับมือที่ยกขึ้นมาของฉินซี อีกมือนึงคล้องเอวเธอ ดึงตัวเธอไปข้างหลัง
ถ้าหากฉินซีในสภาพปกติ ถูกเขาดึงแบบนี้เธออาจจะไม่สะเทือนเลย แต่เวลานี้ฉินซีได้ผ่านเรื่องความรักที่พลิกผันมามากมาย ร่างกายก็เลยยังอ่อนแอมากๆ พอถูกเขาดึงแบบนี้ ก็ได้ล้มไปข้างหลัง
ผู้หญิงคนนั้นเห็นฉินซีถูกตำรวจจับตัวไว้แล้ว ก็เลยยิ่งกรีดร้องเสียงดัง:“สวรรค์เอ๊ย! ทำร้ายร่างกายต่อหน้าตำรวจเลยหรือ!”
เวลานี้ตำรวจหญิงคนนั้นก็ได้เดินมาตรงหน้า
แต่เธอไม่มีความคิดที่จะช่วยผู้หญิงคนนั้น แค่รับตัวฉินซีจากมือตำรวจชาย แล้วมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา
“หุบปากของคุณให้ดีเถอะ”
พูดจบคำนี้แล้ว เธอก็ได้พาตัวฉินซีจากไป
และพวกตำรวจก็ได้จากไปตามๆกัน
ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่บนพื้น แล้วทำท่าทีทุบที่หน้าอกตัวเอง :“แม้แต่ทำร้ายร่างกายตำรวจก็ไม่สนใจแล้วหรือ! ในโลกนี้ยังมีความถูกต้องอยู่หรือเปล่า!”
แต่ กลับไม่มีคนสนใจและเห็นด้วยกับเธอ
เพราะคนที่สามารถพูดคำที่ทำร้ายจิตใจแบบนั้นกับผู้ตาย ก็ยากที่จะได้ความสงสารจากคนอื่น
……….
และฝั่งฉินซี หลังจากถูกพาตัวออกห่างจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว เธอได้กลับไปมีสภาพที่เหม่อลอยเหมือนเดิม
“คุณยังโอเคมั้ย?” ตำรวจหญิงก้มหน้าถามเธอ
ผ่านไปหลายวิ ฉินซีถึงได้ส่ายหน้าเบาๆ
ตำรวจหญิงคนนั้นอายุพอๆกับ เหยาหมิ่นแล้ว มองดูฉินซีก็มีความเป็นแม่ที่มองดูลูกของตัวเอง ในแววตาเป็นไปด้วยความสงสาร ตบที่ไหล่เธอเบาๆถือว่าเป็นการปลอบใจ ทั้งสองคนได้ขึ้นรถตำรวจ แล้วเดินทางไปในทางสถานีตำรวจ
“นี่ใช่มือถือของคุณมั้ย?” ตำรวจคนนึงที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันหน้ากลับมา แล้วยกมือถือขึ้นมาต่อหน้าฉินซี ฉินซีจ้องมองมือถือไปหลายวิ ถึงได้พยักหน้าเบาๆ
ตำก็ไม่ได้ถือสาความเชื่องช้าของเธอ เห็นเธอพยักหน้า แล้วได้เปิดปากพูด:“คุณปลดล็อคมือถือหน่อยครับ พวกเราจะตรวจสอบดูว่ามีเบาะแสอะไรรึเปล่าครับ”
แน่นอนมือถือนี้พวกเขาเก็บได้ตรงบันไดที่ขึ้นดาดฟ้า แต่เดิมคิดว่าเป็นสิ่งของอะไร เหยาหมิ่น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นมือถือของฉินซี
แต่ว่าเดิมทีพวกเขาก็จะตรวจสอบฉินซีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมือถือนี้ก็กลายเป็นหลักฐานที่จำเป็นต้องตรวจสอบด้วย
ฉินซีก็ไม่ได้ไม่เห็นด้วยอะไร แล้วยื่นนิ้วออกไปอย่างสงบ และปลดล็อคมือถือ
ตำรวจก้มหน้าเปิดดูประวัติการโทรของฉินซี ทันใดนั้นมือถือของเธอได้ดังขึ้น
“คนที่โทรเข้าคือ……. อานหยัน” ตำรวจที่ถือมือถือไว้ได้หันหน้ากลับมามองฉินซีอีกครั้ง “คุณจะรับสายมั้ยครับ?”
ฉินซีลังเลไปครู่นึง ถึงได้พยักหน้าเบาๆ
ตำรวจก็เลยกดรับสายและเปิดลำโพงไว้
มือถือยังคืนให้แก่ฉินซีไม่ได้ในเวลานี้ ก็เลยต้องรับสายด้วยวิธีนี้
พอรับสายแล้ว เสียงของอานหยันได้ดังขึ้นจากมือถือ:“ฉินซี? เธอไปไหนแล้ว? ทำไมยังมาไม่ถึงสนามบินอีก คนของนิตยสารรอเธอตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเธอมาเสียที ตอนนี้พวกเขากำลังเร่งแล้ว? เธอหลับเลยเวลาหรือ?”
คำถามของเธอเหมือนกระสุนปืนยิงออกมารัวๆ จนไม่รู้ควรจะตอบคำถามไหนก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินซีที่เชื่องช้าในเวลานี้
เธอเปิดปากด้วยความลังเล ผ่านไปตั้งนานถึงได้คำที่ไร้ความหมายออกมา:“อืม……”
ตำรวจหญิงที่อยู่ข้างกายเธอทนดูไม่ไหวแล้ว จึงช่วยเธอตอบกลับไปว่า:“คุณเป็นเพื่อนของเธอใช่มั้ยคะ? ถ้าสะดวกก็มาที่สถานีตำรวจหน่อยค่ะ มีเรื่องบางอย่างต้องถามคุณให้แน่ใจหน่อยค่ะ”
เสียงของ อานหยันตึงเครียดขึ้นมาทันที:“สถานีตำรวจ? เธอเป็นอะไรคะ? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
ตำรวจหญิงกลับไม่ได้ตอบเธอโดยตรง เพียงแค่บอกที่อยู่ของสถานีตำรวจแก่เธอ แล้วพูดว่า:“ฟังจากคำพูดคุณแล้ว เธอยังมีงานต้องทำใช่มั้ยคะ? คุณช่วยลางานแทนเธอหน่อยสิ เวลานี้เธอคงไปไม่ได้แล้วค่ะ”
พอเธอพูดแบบนี้แล้ว อานหยันฟังแล้วยิ่งรู้สึกตื่นกลัว แต่เธอก็รู้ว่าตัวเองคงไม่สามารถหาคำตอบอะไรจากตำรวจได้หรอก ก็เลยรีบตอบตกลง แล้ววางสายโทรศัพท์
จบการสนทนาแล้ว ตำรวจหญิงหันไปมองฉินซี เธอก็ยังมีสีหน้าที่เฉื่อยชาเหมือนเดิม เหมือนกับว่าไม่เคยมีสายโทรเข้าเลยอย่างนั้น
ตำรวจหญิงถอนหายใจเบาๆ
เธอเคยเห็นคนเยอะแยะที่ได้เจอเรื่องเสียใจมากมายแล้วรับไม่ไหว ก็จะมีสภาพแบบเดียวกันกับฉินซีนี่แหละ
หลังจากนั้น คนเหล่านั้น บางคนคิดไม่ตก แล้วฆ่าตัวตายไป บางคนมุดเข้าไปในซอยตัน แล้วกลายเป็นโรคประสาท แน่นอนก็มีบางคนที่ผ่านมันไปได้
เธอหวังว่าฉินซีจะเป็นคนแบบสุดท้าย แต่กลับเป็นห่วงว่าเธอจะกลายเป็นสองแบบแรก
เพราะดูๆแล้วฉินซี ไม่ปกติจริงๆ
ผ่านไปครู่นึง รถตำรวจก็ได้มาถึงที่สถานีตำรวจแล้ว
ฉินซีลงรถตามตำรวจ เดินเลี้ยวเข้าไปจนถึงที่ให้ปากคำ
ตำรวจหญิงคนนั้นดูแล้วน่าจะมีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา เธอให้ตำรวจหนุ่มคนนั้นอยู่เป็นเพื่อนเธอ ในตอนที่เธอให้ปากคำ คนอื่นออกไปหมดแล้ว
ฉินซีนั่งอยู่อีกฝั่งนึงของโต๊ะ ใต้แสงไฟสว่างเธอเงยหน้ามองไปที่ตำรวจหญิง ในแววตาเป็นไปด้วยความสับสน
ตำรวจหญิงถอนหายใจ แล้วหยิบปากกากับสมุดขึ้นมา และพูดว่า:“ชื่อและนามสกุล?”
“ฉินซี”
“เพศ?”
“หญิง”
“อายุ?”
“ยี่สิบเอ็ด”
ตำรวจหญิงกำลังจะถามคำถามอีก ก็มีคนมาเคาะประตู
“กล้องวงจรปิดเอามาแล้วครับ” ตำรวจที่เคาะประตูมองมาที่ตำรวจหญิงแล้วพูดว่า:“คุณจะเปิดดูก่อนมั้ยครับ?”
ตำรวจหญิงกวาดมือ:“เอาเข้ามาสิ”
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คิดจะหยุดสอบปากคำ ต่อจากนั้นเธอได้ถามคำถามอีกหลายคำถาม
ฉินซีก็ยังตอบคำถามอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าจะเป็นคำถามอะไร เธอก็ต้องคิดอยู่หลายวิถึงจะเข้าใจความหมายของคนอื่น
ยิ่งเป็นคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” คำถามนี้ เธอใช้เวลานานมาก ถึงได้ตอบออกมา