บทที่ 1184 คุณไปไหนไม่ได้
ทว่าสายตาของฉินซียังคงไม่มองเขาเช่นเคย “ฉันเพียงแค่คิดว่าไม่อยากให้คุณยืนอยู่ด้านนอก ฉันไม่ไปหรอก คุณวางใจได้”
จ้านเซินยิ้ม “ผมรู้ คุณไปไหนไม่ได้หรอก”
หลังจากตอนบ่ายที่เขามาถึงก็รู้แล้ว ฉินซีอาจจะย้ายโรงพยาบาลเพราะเขา ดังนั้นจึงมาเฝ้าเป็นพิเศษ
ไม่ไปแน่นอนว่าดีที่สุด แต่แม้ว่าเธอจะไป ตัวเองก็มีวิธีที่จะควบคุมดูแลเธอใหม่เช่นกัน
“ไม่พูดเรื่องนี้ คุณรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงของจ้านเซินอ่อนโยนเล็กน้อย เดินไปถึงข้างเตียงฉินซี นั่งลงบนเก้าอี้ที่อานหยันลากมาเมื่อครู่นี้ “ผมได้ยินคุณหมอบอกว่า อาการของคุณไม่ดีเท่าไร”
ฉินซีไม่มีอารมณ์มาพูดจามีมารยาทกับเขา หัวเราะเสียงเย็น “ฉันมีสภาพแบบไหน ไม่ต้องรบกวนคุณหรอกค่ะ คุณไม่มีวันเข้าใจไปตลอดกาลเช่นกัน”
น้อยครั้งที่เธอจะเอ่ยวาจาแฝงนัยเย้ยหยันถากถางกับจ้านเซิน ดวงตาของจ้านเซินหรี่ลงเล็กน้อย ใบหน้าเผยความรู้สึกไม่พอใจออกมา “ฉินซี องค์กรอบรมหลักสูตรมากมายให้คุณขนาดนี้ ก็เพื่อไม่ว่าคุณจะเผชิญหน้ากับอะไร ล้วนจัดการทุกอย่างได้อย่างมั่นคง คุณเป็นบุคลากรหลักในองค์กร เพราะว่าญาติพี่น้องเสียชีวิต ก็มีอาการทางประสาท นี่เป็นความอับอายในการอบรมขององค์กรจริงๆ”
ฉินซีกลับไม่ได้เกิดโทสะเพราะคำพูดของเขา แต่มีท่าทีคล้ายกับว่าได้ยินเรื่องน่าขบขันอย่างไรอย่างนั้น มุมปากยกขึ้น เหลือบตาขึ้นมองจ้านเซิน “ฉันไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่คุณคิดแบบนี้ ดังนั้นฉันจึงบอกว่า คุณไม่มีวันเข้าใจฉันไปตลอดกาล”
ในที่สุดท่าทางที่ไม่ว่าอะไรก็เปลี่ยนแปลงเธอไม่ได้นั้นทำให้จ้านเซินมีโทสะ เขากำหมัดขึ้นมา “ฉินซี คุณเป็นคนขององค์กร คุณ……”
“ไม่ว่าฉันจะเป็นคนของที่ไหน สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยก็คือ ฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง” ฉินซีเอ่ยตัดบทจ้านเซินด้วยความสงบ “ขอเพียงแค่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ล้วนเจ็บปวด เสียใจ เดินออกไปไม่ได้ชั่วเวลาหนึ่ง เพราะการเสียชีวิตของญาติพี่น้องตัวเอง แต่ไม่ใช่ส่งศพของเธอออกไป ใช้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจอย่างเย็นชา”
เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องของฟางฟาง สีหน้าไม่สบอารมณ์ของจ้านเซินหนักยิ่งกว่าเดิม “ฉินซี! ทั้งหมดที่ผมทำล้วนเพื่อองค์กร! คุณมีคุณสมบัติอะไรมาตำหนิผมกัน”
ฉินซีที่เผชิญหน้ากับเขาที่มีโทสะอย่างเห็นได้ชัดนั้นยิ้มบางๆ “ใช่แล้ว คุณล้วนทำเพื่อองค์กร เมื่อดูแล้ว คุณก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
จ้านเซินอ้าปากอยากจะพูดอะไร ทว่ากลับถูกฉินซีตัดบทไป
“ฉันรู้ว่า คุณจะต้องประหลาดใจมากอย่างแน่นอน” ฉินซีพูดเองเออเอง “จากการอบรมที่ฉันได้รับมา ไม่พูดถึงเรื่องที่เหยาหมิ่นกระโดดตึกต่อหน้าฉัน แม้ว่าฉันจะไม่ระวังพลาดทำร้ายเหยาหมิ่น ฉันก็จะไม่มีปฏิกิริยาที่มากเกินไปแบบนี้”
เธอเป็นฝ่ายพูดเรื่องการจากไปของเหยาหมิ่นออกมา จ้านเซินยิ่งเอ่ยปากได้ยากขึ้น เพียงแค่รอเธอพูดจนจบอย่างโมโห
“แต่ว่า คุณเคยคิดหรือไม่ว่า สำหรับฉันแล้ว บนโลกใบนี้มีคนที่มอบความรักของแม่ให้ฉันนั้น มีสองคน ฟางฟางและเหยาหมิ่น ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่ขาดความรักของแม่ เพราะว่าฉันมีมากกว่า เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ฉันได้รับความห่วงใยของคุณแม่เยอะกว่า” เสียงของฉินซีล่องลอยขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ภายในไม่กี่วัน ทั้งหมดล้วนเปลี่ยนแปลงไป อย่างแรกคือฉันเห็นคราบเลือดของฟางฟางที่กระโดดตึกและศพของเธอ ทั้งยังมองเห็นเหยาหมิ่นกระโดดลงไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง จ้านเซิน ถ้าหากว่าใช้การเปรียบเทียบที่คุณสามารถเข้าใจได้มาอธิบายล่ะก็ นั่นก็เหมือนกับคุณเคยมีบัตรธนาคารที่มีเงินนับร้อยล้านใบหนึ่ง จู่ๆวันหนึ่ง คุณถูกแจ้งให้ทราบว่า เงินในบัตรน้อยลงไปกว่าครึ่ง และผ่านไปอีกไม่กี่วัน บัตรใบนั้นก็ไม่มีผลแล้ว คุณกลายเป็นคนจนที่ไม่มีอะไรเลยภายในคืนเดียวคนหนึ่ง”
จ้านเซินถูกประโยคที่เธอพูดว่า “การเปรียบเทียบที่คุณสามารถเข้าใจได้” นั้นทิ่มแทงจนไม่ยินดีอยู่บ้าง แต่ว่าก็เข้าใจความหมายของฉินซีในที่สุด
“ถ้าหากว่าเป็นแบบคุณ คุณก็คงไม่ได้ดีกว่าฉันสักเท่าไรหรอก” ฉินซียิ้มเฉยชา “ฉันรู้ดีว่า ฉันจินตนาการว่ามีเหยาหมิ่นอยู่เป็นเพื่อนฉัน แต่ว่าแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ฉันพังทลายลง ฉันไม่สามารถทำงานโดยไม่แยแสศพของคุณแม่ที่อยู่ข้างกายได้ จ้านเซิน ฉันไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ผ่านเกณฑ์ขององค์กร”
จ้านเซินรู้สึกได้ว่าในคำพูดของฉินซีคล้ายกับว่ามีความนัยแฝงอยู่ สีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที “คุณอยากจะพูดอะไร”
ฉินซีกลับไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเขาในทันที แต่เบนประเด็นไปว่า “คุณรู้สินะ ก่อนที่ฟางฟางจะกระโดดตึก ฉันไปพบกับเธอมา”
จ้านเซินหน้าตึง ไม่ตอบคำถาม
แน่นอนว่าเขารู้
ฉินซีก็ไม่ได้เซ้าซี้เขา พูดเองเออเอง “วันนั้น ฉันคุยกับเธอทั้งคืน เธอเล่าเรื่องราวมากมายให้ฉันฟังแล้ว”
สายตาของจ้านเซินเผยแววอันตรายออกมาเล็กน้อย ถามกลับเสียงต่ำ “เรื่องมากมายหรือ”
ฉินซีหัวเราะเยาะ “ไม่ใช่ความลับในการทดลอง ไม่ใช่ความลับอะไรที่จะสามารถขยับเงินของคุณได้ เพียงแต่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเธอเข้ามาในองค์กรและมีคุณได้อย่างไร”
เห็นท่าทางโล่งใจของจ้านเซินแล้ว ความรู้สึกเยาะเย้ยในแววตาของฉินซีก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดูท่าสำหรับจ้านเซินแล้ว เบื้องหลังประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง และการที่ฟางฟางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดนี้ ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับความมั่งคั่งของตัวเอง
“คุณรู้สินะว่า ทำไมเธอถึงปฏิเสธการช่วยชีวิตจากคุณ มีวิธีการมากมายที่จะสร้างความสำเร็จให้กับแผนการของคุณพ่อคุณ แต่ทำไมเธอกลับเลือกวิธีการที่น่าเวทนาที่สุด” ฉินซีมองจ้านเซินตรงๆ ในแววตาไม่ได้อำพรางร่องรอยเยาะเย้ย
จ้านเซินไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้นเพราะแววตาของเธอ เม้มริมฝีปาก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้าเล็กน้อย
“แต่คุณไม่รู้อย่างแน่นอนว่า ก่อนที่ฉันจะออกจากที่นั่น เธอกล่าวเตือนฉันครั้งแล้วครั้งเล่า” ฉินซีเงยหน้ามองเพดานห้อง คล้ายกับว่ากำลังคิดถึงฟางฟาง “เธอพูดว่า ไม่ว่าอย่างไร ก็อย่ากลายเป็นหุ่นยนต์ขององค์กร”
คิ้วจ้านเซินขมวดเป็นปมลึก “หุ่นยนต์หรือ องค์กรไม่เคยเลี้ยงดูหุ่นยนต์อะไร พวกคุณล้วนเป็นบุคคลสำคัญขององค์กร ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้กัน!”
ฉินซีกลับเพิกเฉยต่อโทสะของเขา เพียงแค่พูดเรียบๆว่า “แน่นอนว่าคุณไม่รู้หรอก เพราะว่าคุณเป็นหุ่นยนต์ที่ใช้ได้ดีที่สุดขององค์กรแล้ว”
จ้านเซินลุกขึ้นมา “ฉินซี คุณถูกฟางฟางสร้างอคติทางความคิดให้แล้ว ความคิดแบบนี้ของคุณอันตรายมาก!”
ฉินซีเงยหน้า มองไปทางเขาอย่างไม่ใส่ใจ “จ้านเซิน ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่าทีที่คุณมีต่อศพของฟางฟางเป็นแบบนั้น ฉันก็จะไม่คิดแบบนี้ เธอพูดได้ถูกต้องมาก แต่ว่าตอนนี้ ฉันเข้าใจแล้ว เธอถูก แต่คุณผิด”
เดิมจ้านเซินเป็นบุคคลที่ไม่เผยความรู้สึกใดๆบนใบหน้า คราวนี้กระทั่งลำคอก็แดงก่ำ เสียงก็ดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ “ฉินซี! คุณรู้หรือไม่ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่”
ฉินซียักไหล่ “แน่นอนว่าฉันรู้ คุณรีบร้อนอะไร ไม่ต้องรีบร้อน ฉันยังมีคำพูดที่ยังไม่ได้พูด”
เธอเงียบไปชั่วครู่
สัญชาตญาณของจ้านเซินรู้สึกได้ว่า เธอจะต้องพูดอะไรที่ไม่ดีออกมาแน่ๆ
ภายในห้องพักผู้ป่วยเข้าสู่สภาวะเงียบกริบชวนให้กระวนกระวายกะทันหัน
แต่เขาก็หยุดไม่ให้ฉินซีไม่พูดไม่ได้ เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองควรจะพูดอะไร
เขาเพียงแค่มองฉินซีที่เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ยิ้มบางๆ อ้าปากพูดว่า “จ้านเซิน ฉันจะออกจากองค์กร”