บทที่ 1185 เปิดฉากเรื่องราวทั้งหมด
จ้านเซินถลึงตาโต โกรธจนตาถลน “ฉินซี! คุณรู้หรือไม่ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่!”
ฉินซีคล้ายกับว่ามีภูมิต้านทานต่ออารมณ์โกรธของเขาแล้ว คราวนี้ยังคงรักษารอยยิ้มเรียบๆเอาไว้ “จ้านเซิน ฉันรู้ดีว่า ฉันกำลังทำอะไร”
จ้านเซินกลับตกอยู่ในสภาพเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ เขาอดไม่ได้ที่จะเดินไปรอบๆห้อง ใช้วิธีการนี้มาระบายความโกรธของตัวเอง “ฉินซี ผมรู้ว่าคุณได้รับความสะเทือนใจจากการจากไปของคุณแม่คุณ ถึงได้พูดเหลวไหลออกมาแบบนี้ รอจนรักษาคุณหายเรียบร้อยแล้ว คุณก็จะรู้ว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังพูดจาเหลวไหลมากอยู่!”
ฉินซีไม่โต้ตอบ รอจนเขาพูดรัวเหมือนปืนกลจบแล้ว ถึงได้เอ่ยเรียบๆว่า “ก่อนที่คุณแม่ของฉันจะเสียชีวิต ฉันก็มีความคิดแบบนี้แล้ว การจากไปของคุณแม่ เป็นแค่การยืนยันความต้องการจะจากไปของฉันเท่านั้นเอง”
จ้านเซินหยุดเท้า หันหน้ามามองเธอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้ “ฉินซี ผมเสียใจกับการตายของคุณแม่คุณมาก แต่นี่เกี่ยวข้องอะไรกับองค์กรของพวกเราด้วยหรือ”
ฉินซีส่ายหน้าเบาๆ “ฉันรู้ว่าไม่เกี่ยวข้องกัน อย่างน้อยก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันตรงๆ”
“อย่างนั้นคุณ……..” จ้านเซินคิดจะอ้าปากพูด แต่กลับถูกฉินซีตัดบทเสียงสูง
“ฉันบอกกับคุณแล้ว คุณจะเข้าใจหรือ” เธอมองจ้านเซิน ในแววตาปรากฏความคลุมเครือไม่ชัดเจนที่อธิบายออกมาไม่ได้ขึ้น “คุณสามารถเข้าใจความปั่นป่วนทางอารมณ์และความเห็นใจของคนปกติว่าเป็นอย่างไรกันแน่ได้จริงๆหรือ”
มุมปากของจ้านเซินเม้มเป็นเส้นตรง “คุณไม่พูด แล้วผมจะรู้ได้อย่างไร”
“ได้ อย่างนั้นฉันจะพูดให้คุณเข้าใจ” ฉินซีพยักหน้า “ไม่ว่าจะเป็นฟางฟาง หรือว่าคุณแม่ของฉัน ล้วนเป็นผู้หญิงที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ และก็มีจุดจบที่น่าโศกเศร้าที่สุด พูดแบบนี้ คุณสามารถเข้าใจได้หรือ”
จ้านเซินไม่พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองฉินซี
ฉินซีแค่มองก็รู้แล้วว่า เขาไม่สามารถเข้าใจคำพูดทั้งหมดของตัวเอง
เธอรู้ว่าตัวเองกำลังจินตนาการ กำลังเป็นบ้า อย่างน้อยก็รู้ดีกว่าคุณหมอ ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองกระทำแบบนี้
การตายของเหยาหมิ่นเป็นสาเหตุหลัก แต่การตายของฟางฟางเป็นการเปิดฉากเรื่องราวทั้งหมด
ผู้หญิงสองคนนี้ล้วนทำให้เธอระลึกและขอบคุณถึงความรักของผู้เป็นแม่อย่างลึกซึ้ง และก็พบกับจุดจบอันน่าสลดซึ่งคล้ายคลึงกันในเวลาเดียวกัน
หวั่นไหวไปเอง มอบชีวิตทั้งหมดให้กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ว่าในใจของผู้ชายคนนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบกลับเป็นเพียงแค่เครื่องมืออย่างหนึ่ง
เหยาหมิ่นเป็นเครื่องมือที่ฉินซึ่งเทียนใช้เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเหยา เพื่อที่ “ก้าวเข้าสู่สังคมชั้นสูง” ส่วนฟางฟางกลับถูกบิดาของจ้านเซินใช้ประโยชน์จากทุกด้าน
เมื่อพวกเธอตายถึงได้หลุดพ้นจากเกราะที่คุมขังตัวเองอยู่ ทว่าไม่ได้หลุดพ้นจากชื่อเสียงที่ถูกด่าว่าหลังความตาย
เหยาหมิ่นกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนบ้าน ยอมที่จะเปิดประตูให้คนทวงหนี้ผู้เลวทรามเข้าบ้าน หลังจากตายแล้วกลับถูกเพื่อนบ้านชี้หน้าบอกว่า สมน้ำหน้า ส่วนฟางฟางนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ว่าหนีไม่ได้ แต่กลับกระโดดลงมาจากตึกห้าชั้น การเสียชีวิตกลับถูกตั้งใจบิดเบือนเหตุผลเกินจริง เพื่อให้การค้าที่ “สำคัญมาก” ประสบความสำเร็จ
คนที่มีชีวิตอยู่สองคนค่อยๆหายไปต่อหน้าต่อตาฉินซี เธอจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไรกัน
คำพูดของฟางฟางดังก้องกลับไปกลับมาในสมองของเธอตลอดเวลา
ถ้าหากว่าเธอยังอยู่ในองค์กรนี้ต่อไปล่ะก็ จะกลายเป็นสภาพแบบไหนกัน
จะมีวันใดวันหนึ่งที่เธอจะใช้ความตายมาทำให้ตัวเองได้รับอิสรภาพหรือไม่
หรือไม่ก็ แม้ว่าจะตายไปแล้ว เรื่องการตายก็จะถูกนำไปใช้ประโยชน์เช่นกัน
เธอไม่กล้าคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้
ดังนั้นเธอจึงถอนหายใจเสียงเบา “จ้านเซิน ฉันมีสติดีมาก และก็ขอบคุณที่องค์กรบ่มเพาะและดูแลฉันมาตลอดหลายปีนี้ แต่ว่า ฉันไม่สามารถอยู่ที่องค์กรต่อไปได้อีกแล้ว”
สีหน้าของเธอดูมีสติมากจริงๆ น้ำเสียงที่พูดก็แน่วแน่ ทำให้จ้านเซินสามารถมองเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวที่ต้องการจะจากไปของเธอ
แต่จ้านเซินก็ไม่ใช่คนที่จะถูกโน้มน้าวได้ง่ายๆ
“ถ้าหากว่าคุณมีสติจริงล่ะก็ คงจะไม่อยู่ที่นี่” ทั้งสองคนชะงักค้างไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยปากพูด “แม้ว่าจะพูดถึงเรื่องจากไป อย่างน้อยก็ต้องรอจนคุณเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยนี้ก่อน มีสภาวะของคนที่ร่างกายแข็งแรง ถึงจะสามารถพูดกับผมได้”
ฉินซีกลับยิ้มบางๆ “ฉันจะเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วยแห่งนี้เมื่อไหร่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันฟื้นคืนสติแล้วหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับ…..คุณจะยอมปล่อยฉันออกไปเมื่อไหร่”
รางลูกคิดของจ้านเซินถูกทำลาย ดวงตาก็หรี่ลง หมุนตัวกลับไปมองฉินซี
ฉินซีก็เงยหน้ามองเขาอย่างไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตัวเองด้อยกว่า
“ดีมาก อย่างนั้นพวกเราก็มาคอยดูกัน”
สุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งประโยคนี้ไว้ แล้วเดินไปทางประตู
แต่ว่าเขาเดินได้ไม่เร็วมากพอ จึงยังได้ยินคำพูดที่ฉินซีพูด
“ถ้าหากว่าคุณตั้งใจจะไม่ให้ฉันจากไป อย่างนั้นคุณก็จะได้ฉันคนที่เลอะเลือนไม่เต็มบาทนะจ้านเซิน”
น้ำเสียงของฉินซีสงบนิ่ง สงบจนทำให้คนฟังไม่ออกว่านี่คือการข่มขู่
ดังนั้นจ้านเซินจึงทำเพียงแค่ยิ้มเรียบๆ และผลักประตูออกไป
……..
แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่า ประโยคนี้ของฉินซีไม่ได้เป็นการพูดไปอย่างนั้น
วันรุ่งขึ้น เมื่อชายสวมชุดกาวน์ตรวจอาการเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมารายงานทั้งที่คิ้วขมวด “อาการป่วยของฉินซีมีแนวโน้มไปในทางที่เลวร้ายลง”
จ้านเซินยังคิดถึงประโยคที่ฉินซีพูดเมื่อคืนนี้ จึงโบกมือไปมา “คุณสามารถมั่นใจได้ไหมว่า เธอไม่ได้จงใจ”
ชายสวมชุดกาวน์เงยหน้ามองจ้านเซินอย่างยากที่จะเข้าใจ “จงใจแสร้งเป็นบ้าหรือ”
จ้านเซินไม่ยินยอมที่จะเล่าบทสนทนาระหว่างตัวเองกับฉินซีเมื่อคืนให้กับคนอื่นฟัง จึงส่ายหน้าตอบว่า “ครั้งหน้าตอนไปตรวจ ต้องยืนยันสักหน่อยว่า เธอไม่ได้จงใจแสร้งทำท่าทางเลอะเลือน ไม่เต็มบาทจริงๆใช่หรือไม่”
แม้ว่าชายสวมชุดกาวน์จะยังมีท่าทางไม่เข้าใจ แต่ภายใต้คำสั่งของจ้านเซิน เขาไม่สามารถไม่เชื่อฟังได้ จึงพยักหน้ารับคำไป
ดังนั้นถัดไปอีกสองวัน เขาก็สังเกตอาการของฉินซีใหม่ ใช้แม้กระทั่งวิธีการไม่น้อยมายืนยันว่าฉินซีแสร้งทำตัวเป็นบ้าจริงหรือไม่”
จนถึงวันที่สาม ในที่สุดเขาก็ยืนยันกับจ้านเซินว่า “อาการของฉินซี…..เลวร้ายลงจริงๆ”
จ้านเซินขมวดคิ้ว “เลวร้ายลงหรือ”
ชายสวมชุดกาวน์ถอนหายใจ ชี้ไปทางประตู “คุณไปดูกับผมก็จะรู้แล้ว”
จ้านเซินไม่ปฏิเสธ
คนสองคน คนหนึ่งนำ คนหนึ่งตาม มาถึงห้องพักผู้ป่วย พบกับอานหยันที่นั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยพอดี
นัยน์ตาเธอเต็มไปด้วยความร้อนใจ เมื่อเห็นชายสวมชุดกาวน์ก็ลุกขึ้นมาในทันที “คุณหมอคะ ทำไมฉันถึงเห็นว่า หลายวันมานี้ อาการของฉินซียิ่งดูยิ่งไม่ดีขึ้นเรื่อยๆล่ะคะ”
เธอไม่แม้กระทั่งจะสังเกตเห็นจ้านเซินที่เดินตามหลังชายสวมชุดกาวน์เข้ามา
ส่วนจ้านเซินก็ไม่ได้มองเธอ
สายตาทั้งหมดของเขาถูกฉินซีดึงดูดไป
ฉินซี……ผอมลงมาก
เดิมเธอก็เป็นคนร่างเล็กบางอยู่แล้ว คราวนี้เมื่อผอมลงอีก ก็มีสีหน้าอาการของคนป่วยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งร่างเหมือนกับต้นอ้อที่แห้งตาย แค่หักก็ขาดได้
เบ้าตาโหลลึกลงไป สีผิวขาวซีดมาก ทั้งร่างคล้ายกับว่าแค่มีลมพัดผ่าน ก็สามารถพัดปลิวได้
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด
ที่น่ากลัวที่สุดอยู่ที่ ริมฝีปากที่พึมพำอะไรสักอย่างไม่หยุดของเธอ
เมื่อตั้งใจฟังแล้ว ถึงจะได้ยินอย่างชัดเจน
เธอคล้ายกับว่ากำลังพูดอยู่กับคนคนหนึ่ง
“คุณแม่คะ คุณแม่ดูสิ มีคนมาเยอะแยะเลย” เสียงของฉินซีไม่ดัง แต่จ้านเซินกลับได้ยินชัดเจนมาก