บทที่ 1187 ตัดสินใจไม่ได้
ถึงแม้ว่าสีหน้าของจ้านเซินจะไม่น่าดู แต่กลับไม่ได้มีร่องรอยประหลาดใจอะไร
คุณหมอจึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทำไมตอนที่ก่อนหน้านี้ที่ตัวเองเสนอว่าจะช่วยฉินซีแก้ไขปัญหา เขาถึงได้ลังเลขนาดนี้
ส่วนใหญ่เขารู้แล้วว่าความต้องการที่มากที่สุดในใจของฉินซีคือสิ่งนี้
………อย่างนั้นตอนนี้ควรจะทำอย่างไร
ชั่วขณะหนึ่งที่คุณหมอก็ตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน
คุณหมอเงียบไปนานเกินไป จนกระทั่งฉินซีขยับร่างกายไปมาอย่างไม่สงบ เขาถึงได้มีสติกลับมา ทำตามการคาดเดาของตัวเองก่อนหน้านี้ เอ่ยถามคำถามใหม่ “ถ้าหากว่าคุณไม่สามารถทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำนี้ได้ คุณจะเป็นอย่างไร”
ฉินซีหลับตา คิ้วขมวดเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่ยินดีหลายส่วน “ฉันจะไม่มีความสุขมาก”
ทางด้านคุณหมอกับฉินซียังคงถามตอบ จ้านเซินกลับเริ่มที่จะฟังไม่เข้าหูแล้ว
สมองของเขาเต็มไปด้วยคำพูดของฉินซี
ประโยคหนึ่งที่ฉินซีพูดอย่างจริงจังในตอนก่อนที่เขาจะออกไปจากห้องพักผู้ป่วยของเธอ “คุณจะได้รับฉินซีที่มีอาการเลอะเลือนคนนี้”
และยังมีอีกประโยคหนึ่งเมื่อครู่นี้ “ฉันจะไม่มีความสุขมาก”
จ้านเซินรู้มาโดยตลอดว่า ตัวเองเชื่องช้าต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นเป็นอย่างมาก และยากที่จะเกิดความเห็นอกเห็นใจ ยากที่จะเข้าใจความรู้สึกอันปั่นป่วนของผู้อื่นอยู่บ้าง
เขาไม่เคยคิดว่านี่เป็นจุดด้อยจุดหนึ่ง กระทั่งในบางครั้งก็ยังรู้สึกว่าความเชื่องช้านี้เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ทำให้เขาสามารถรักษาความสงบเยือกเย็นของสมองได้ ไม่ถูกอารมณ์ความรู้สึกส่งผลกระทบต่อความเยือกเย็นที่ควรมี
แต่เมื่อมองฉินซีในตอนนี้ เขากลับรู้สึกเสียใจต่อความเชื่องช้าของตัวเองเล็กน้อย
ถ้าหากว่าเขาเหมือนกับคนปกติ สามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดของฉินซีได้ ตอนนี้ก็น่าจะตัดสินใจได้ไม่อยากแล้วมั้ง
ฝืนให้ฉินซีอยู่ เปลี่ยนให้เธอเป็นคนที่เลอะเลือนจนไม่สามารถกลับสู่สภาพปกติได้ หรือว่าปล่อยมือ ทำให้เธอมีอิสระอีกครั้ง
คำตอบของคำถามนี้ คล้ายกับว่าไม่ได้ตอบยากขนาดนั้น
แต่ถ้าให้จ้านเซินตัดสินใจจริงๆ กลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ไม่เพียงแต่เพราะฉินซีเป็นแกนกลางหลักขององค์กรคนหนึ่ง ยังเป็นเพราะ……..เขาไม่คุ้นเคยกับการที่ฉินซีไม่ได้อยู่ข้างกายตัวเอง
เขาไม่พูดว่าชอบพล่อยๆ เพราะตัวเขาเองก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าตัวเองรู้ว่าอะไรคือความชอบ
แต่เขารู้ชัดเจนดีว่า ถ้าหากฉินซีไม่อยู่ข้างกายตัวเอง ตัวเองจะต้องไม่มีความสุขอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าถ้าหากการไม่มีความสุขของตัวเองขึ้นอยู่กับสุขภาพที่แข็งแรงของฉินซี…….ก็ดูคล้ายกับว่าจะไม่สามารถอดทนได้เช่นกัน
ทางฝ่ายจ้านเซินกำลังครุ่นคิดอยู่ ทางคุณหมอนั้นถามเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ฉินซีค่อยๆลืมตา แววตาเต็มไปด้วยความสับสนที่เห็นได้บ่อยๆในไม่กี่วันมานี้
คุณหมอกำชับเธออีกสองสามประโยค ส่งเธอออกไปจากห้องตรวจโรค และกำชับอะไรกับอานหยันอีกเล็กน้อย ถึงได้กลับเข้ามาและปิดประตูห้อง
รู้ว่าฉินซีต้องการอะไรแล้ว เขาก็ไม่กล้าเร่งให้จ้านเซินตัดสินใจ เพียงแต่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาเงียบๆ รอเขาเอ่ยพูด
จ้านเซินกลับไม่ได้มองเขา สายตาของเขาหยุดอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่ฉินซีเอนตัวนอนอยู่เมื่อครู่นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เขาถึงค่อยๆเอ่ยปากว่า “รักษาเธอให้หายเถอะ”
คุณหมอเบิกตาโตเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แต่ว่า ถ้าคิดจะรักษาเธอให้หาย ก็ต้องปล่อยให้เธอลาออกจากองค์กร……”
จ้านเซินตัดบทเขา “ผมรู้”
องค์กรก็ไม่ใช่ว่าไม่สามารถลาออกได้
พนักงานทั่วไปขององค์กรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อผ่านการสมัครงานเข้ามาแล้ว ถ้าหากหาตำแหน่งที่ดีกว่าได้ ก็เหมือนกับบริษัทอื่น ลาออกปกติ และหางานใหม่
แต่พนักงานที่บุคลากรหลักขององค์กรนั้นไม่เหมือนกัน
พวกเขารู้ซึ้งและเข้าใจข้อมูลข่าวสารขององค์กรมากเกินไป ปกติแล้วไม่สามารถจากไปได้ง่ายๆ
อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ นอกจากพนักงานที่เสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน ก็ไม่มีพนักงานหลักคนไหนลาออกจากองค์กรจริงๆ
ตัวชายหนุ่มชุดกาวน์สีขาวก็เป็นหนึ่งในบุคลากรหลักขององค์กร แต่เขาก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่า การลาออกจากองค์กรของพนักงานมีลำดับขั้นตอนอย่างไร แต่จ้านเซินรู้
ถ้าหากพนักงานที่เป็นบุคลากรหลักขององค์กรต้องการลาออก จำเป็นต้องตัดมือข้างหนึ่งทิ้ง ทั้งยังต้องผ่านการสะกดจิตให้ลืมข้อมูลข่าวสารทั้งหมดขององค์กรก่อน ถึงจะสามารถจากไปได้
แต่การสะกดจิตแบบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้คนลืมความทรงจำ แต่ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมองที่ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ด้วย
จะให้เปรียบเทียบกับภาพล่ะก็ เหมือนกับคิดจะดึงขุยออกจากเสื้อสเวตเตอร์ที่เป็นขุยตัวหนึ่ง ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงดึงส่วนที่ไม่มีปัญหาของเสื้อสเวตเตอร์ไปด้วยได้ และโครงสร้างของเสื้อสเวตเตอร์ก็จะมีสภาพหลวมและบางลง
หากพนักงานที่เป็นแกนหลักจะลาออกจากองค์กร จำเป็นต้องได้รับบาดแผลทางสรีระร่างกายและจิตใจสองอย่างนี้อย่างหนัก ถึงจะสามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถเพียบพร้อมต่อองค์กรอื่นๆ และไม่เกิดการคุกคามต่อองค์กรด้วย
……..แต่ถ้าหากฉินซีต้องประสบเคราะห์ร้ายมากขนาดนี้ถึงจะสามารถจากไปได้ อย่างนั้นการฝืนบังคับให้เธออยู่ข้างกาย ก็คล้ายกับว่าไม่มีความแตกต่างอะไร
แต่ว่าตอนนี้จ้านเซินเป็นผู้กุมอำนาจในองค์กร
แม้ว่าคุณพ่อของเขาจะไม่ได้โอนอำนาจทั้งหมดในองค์กรให้กับเขา แต่เรื่องอย่างการจัดการพนักงานที่เป็นแกนหลักขององค์กรนั้น คุณพ่อของเขาจะไม่สอดมือเข้ามา
ดังนั้นจ้านเซินตัดสินใจในเวลาชั่วครู่หนึ่ง
“ฉินซีไม่สามารถไปจากองค์กรได้” เขาพูด
สีหน้าของคุณหมอเปลี่ยนไปในทันที พูดว่า “แต่ว่าตอนนี้อาการป่วยของเธอไม่สามารถรอได้แล้ว……”
“ฟังผมพูดให้จบ” สีหน้าของจ้านเซินแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามหลายส่วน “แต่ว่าคุณสามารถทำให้เธอรู้สึกได้ว่า ตัวเองถูกอนุญาตให้ไปจากองค์กรได้แล้วใช่ไหม”
คุณหมอเผยสีหน้าสับสนออกมาอย่างชัดเจน “หมายความว่าอย่างไร”
จ้านเซินยื่นมือไปลูบคาง “พูดแบบนี้ หากต้องพูดว่าปล่อยฉินซีไปจากองค์กร ไม่สู้บอกว่าหยุดการติดต่อระหว่างเธอกับองค์กรชั่วคราว”
คุณหมอยังคงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ดูแล้วไม่เหมือนกับท่าทางไม่เข้าใจเมื่อครู่นี้
“ระหว่างที่หยุดการติดต่อนั้น ก็ปิดผนึกความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของเธอไปก่อนชั่วคราว” จ้านเซินเอ่ยต่อ “เพียงแค่ปิดผนึก ไม่จำเป็นต้องทำลายความทรงจำนี้ไป”
“อย่างนั้น…….” คุณหมอยังอยากจะพูด แต่กลับถูกเสียงสูงของจ้านเซินกดเอาไว้
“เธอได้รับความกระทบกระเทือนจนรู้สึกว่าองค์กรเป็นกรงที่ขังเธอเอาไว้ไม่ใช่หรือ อย่างนั้นก็ให้เธอนึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในกรงนี้แล้วก่อน แบบนี้เธอจะสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาพปกติได้สินะ” จ้านเซินมองคุณหมอ
คุณหมอพยักหน้าอย่างลังเล “เป็นอย่างนั้นจริงๆ…….การตายของฟางฟางและคุณแม่ของเธอไม่สามารถนำกลับคืนมาได้แล้ว ดังนั้นความปรารถนาของเธอจึงลากเรื่องนี้และอิสรภาพของตัวเองที่ถูกจำกัดโดยองค์กรเข้าด้วยกัน ทำให้ตอนนี้ปมหลักในใจของเธอก็คือไปจากองค์กร เมื่อคลี่คลายปมนี้แล้ว อาการของเธอก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมาก”
“อย่างนั้นก็เอาแบบนี้แหละ” จ้านเซินพยักหน้ายืนยัน “รอเธอกลับสู่สภาพปกติแล้ว ค่อยบอกทั้งหมดกับเธอ ตัวเธอเองก็รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร”
คุณหมอกลับยังลังเลอยู่บ้าง “แต่ถ้าถึงตอนนั้นเธอยังอยากจะจากไปล่ะ”
จ้านเซินมองเขาอย่างลึกซึ้ง ตอบเสียงเรียบ “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน”
คุณหมอไม่รู้ว่า “ค่อยว่ากัน” คำนี้แสดงถึงวิธีการอะไร แต่ในเมื่อจ้านเซินยอมเอ่ยปากแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเขา