บทที่ 1193 โหยหาอดีต
ณ ประเทศF รีสอร์ทชิงหยวน
ร่างกายของหลินยี่ยังคงไม่ฟื้นตัวดีทั้งหมด การที่มาอยู่เป็นเพื่อนลู่เซิ่นนานขนาดนี้ก็ถึงขีดสุดแล้ว ในไม่ช้าก็ถูกลู่เซิ่นไล่กลับตระกูลลู่ไป เพื่อพักฟื้นร่างกาย
ภายในห้องหนังสือจึงเหลือเขาเพียงแค่คนเดียว
เขาเดินไปถึงหน้าโต๊ะหนังสือของตัวเอง กำลังจะจัดการเบาะแสให้เรียบร้อยสักหน่อย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไป ก็พบว่ารูปผืนที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก่อนหน้านั้นไม่อยู่แล้ว
รูปใบนั้น เป็นรูปที่ฉินซีถ่ายตอนทั้งสองคนพบกันครั้งแรกในนิทรรศการภาพถ่ายใบนั้น
เขากับฉินซีพบกับฝ่ายตรงข้ามและสนทนากันเป็นครั้งแรกเพราะรูปภาพ และก็เพราะว่าเขามองภาพนั้นบ่อยครั้ง ถึงได้มีความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาดกับฉินซีขึ้นมา
สำหรับลู่เซิ่น ความหมายของรูปใบนั้นมีค่ามากกว่าตัวเงิน
หรือว่าจะมีคนบุกเข้ามาเอาไปแล้ว
หัวใจเขาหดตัวลง ยกโทรศัพท์ต่อสายหาพ่อบ้านในทันที “รูปที่อยู่ในห้องหนังสือของผมภาพนั้นล่ะ”
น้ำเสียงของเขาร้อนรน พ่อบ้านไม่ต้องคิดให้มากความ ก็รู้ว่าเขาถามถึงอะไร จึงตอบในทันทีว่า “ก่อนหน้านี้คุณผู้หญิงให้คนย้ายไปที่ห้องของคุณแล้วครับ”
ลู่เซิ่นตะลึงค้าง
ฉินซี……นำรูปนี้กลับไปที่ห้องด้วย หมายความว่าอย่างไรกัน
เป็นเพราะรู้สึกร้อนใจที่ตัวเองไม่มีความทรงจำในอดีต อยากจะอาศัยวิธีการแบบนี้มากระตุ้นให้ตัวเองนึกความทรงจำออกได้เร็วหน่อย หรือว่าโหยหาอดีตเฉยๆกันนะ
ลู่เซิ่นนั่งไม่ติด เดินกลับไปห้องอีกครั้ง ยืนยันการคงอยู่ของภาพนั้นด้วยตัวเอง
เขาถึงพบว่า ภาพนี้ถูกฉินซีแขวนไว้บนหัวเตียงเขาด้านหนึ่ง
ปกติตอนนอนฉินซีจะหันมาด้านนี้ และก็หมายความว่า……ช่วงเวลาที่ตัวเองไม่อยู่ เพียงแค่ฉินซีลืมตาขึ้นมา ก็จะสามารถเห็นภาพนี้ได้
ดังนั้นในขณะที่มองภาพนี้ ฉินซีโอบกอดความรู้สึกอะไรเอาไว้นะ
แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาก็ต้องการมองเห็นสิ่งนี้ทุกวัน จะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอนสินะ
ลู่เซิ่นรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองเห็นร่องรอยแห่งความหวั่นไหวของฉินซีได้อย่างเรือนราง แต่ว่า…..นี่กลับทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม
ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้ เธอหวั่นไหวเสียจนถึงขั้นลืมตามา ก็ต้องเห็นภาพนี้แล้ว จะเป็นเพราะอะไรกันแน่ ที่ทำให้เธอมีความคิดที่จะไปจากที่นี่
คิ้วลู่เซิ่นขมวดเป็นปมแน่น จ้องมองภาพนี้จนใจลอยเล็กน้อย
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาทำลายการครุ่นคิดของเขา
คนที่โทรศัพท์มาก็คือหลินหยัง
น้ำเสียงของเขารีบเร่งกว่าปกติอยู่บ้าง “ประธานลู่ ตรวจสอบสิ่งที่อยู่บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นได้แล้วครับ”
ลู่เซิ่นมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยถามต่อในทันที “อะไร”
น้ำเสียงของหลินหยังเต็มไปด้วยความร้อนใจ “แม้ว่าเกือบจะระเหยไปหมดแล้ว แต่ทางสถาบันวิจัยยังสามารถค้นพบร่องรอยของตัวยาประเภทควบคุมประสาทเล็กน้อย ผ่านการเทียบแล้ว……น่าจะเป็นตัวยาตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาของฝ่ายทหารครับ”
สีหน้าของลู่เซิ่นเย็นชาขึ้นตามคำพูดของหลินหยังเรื่อยๆ
เป็นยาประเภทนั้นจริงๆ……
“ได้ ผมรู้แล้ว คุณตรวจสอบกล้องวงจรปิดต่อไป ดูสิว่าสามารถหาร่องรอยของฉินซีได้จากที่ไหนไหม” น้ำเสียงของลู่เซิ่นสงบนิ่งกว่าหลินหยังเล็กน้อย
หลินหยังรับคำในทันที
เมื่อวางสายโทรศัพท์จากหลินหยังแล้ว สุดท้ายลู่เซิ่นก็มองภาพนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นใครที่พาคุณไป คุณต้องรอผมนะ
ผมจะต้องหาคุณให้พบ
……..
เพียงแต่ฉินซีที่อยู่ไกลนับพันลี้นั้น ไม่อาจได้ยินเสียงในใจของลู่เซิ่น
เธอในตอนนี้นั้นหลับลึกไปแล้ว
คาดว่าเกี่ยวข้องกับการฝืนยัดความทรงจำมากมายกลับเข้าไป ฉินซีไม่ได้ฝันถึงลู่เซิ่น และไม่ได้ฝันถึงเหยาหมิ่นเช่นกัน
คนที่เธอฝันถึงก็คือ จ้านเซิน
ความทรงจำในสิบกว่าปี ล้วนฉายครบเรียบร้อยในตอนที่ทำการสะกดจิต แม้ว่าลำดับขั้นตอนจะสมบูรณ์มาก แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่รายละเอียดปลีกย่อยจะหยาบไปบ้าง ไม่ทันที่จะนึกถึง
และรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ ก็อาศัยช่วงเวลาที่ฉินซีหลับลึก เข้าสู่สมองของเธอ
เดิมในความทรงจำของเธอ อดีตของตัวเอง ช่วงเวลาที่สนิทสนมกับฟางฟาง และยังมีการตายของเหยาหมิ่น ล้วนครอบครองสมาธิเกือบทั้งหมดของเธอ
จนเธอไม่ได้แบ่งความคิด ไปใส่ใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับจ้านเซิน
และในตอนนี้ ภายในความฝัน ตัวหลักในความทรงจำของเธอ กลายเป็นจ้านเซิน
ช่วงเวลาในหนึ่งปีกว่ามานี้ เธอคิดมาโดยตลอดว่า คนที่ตัวเองหวั่นไหวด้วยมีเพียงแค่หซู่หนานคนเดียว
แต่หลังจากที่จำทั้งหมดได้แล้ว เธอถึงได้เข้าใจ
ที่แท้แล้ว……..สำหรับตัวเอง หซู่หนานก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่คลุมเครือครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
ผู้ชายที่ครอบครองเวลาในชีวิตของตัวเองนานที่สุด นอกจากฉินซึ่งเทียน ก็คือจ้านเซิน
ตอนที่ฉินซีอายุสิบขวบ พบเจอกับจ้านเซินเป็นครั้งแรก
เวลาผ่านไปนานมากเกินไป เธอจำได้ไม่ชัดเจนแล้วว่า ตอนแรกที่ตัวเองได้พบกับจ้านเซิน มีความรู้สึกอย่างไร
แต่สันนิษฐานได้ว่า ตอนนั้นตัวเองคงจะไม่ได้มีความรู้สึกเป็นอริต่อจ้านเซิน
ไม่อย่างนั้น…..ก็คงไม่เดินตามจ้านเซินออกไปจากสนามฝึกอบรม แล้วเข้าไปในห้องทดลอง ในตอนที่จ้านเซินมาเรียกเธอไปหรอก
นับตั้งแต่นั้นก็เริ่มใช้ชีวิตอยู่ภายในองค์กร
เพียงแต่หลังจากอายุสิบขวบ เมื่อเริ่มเข้าสู่การฝึกอบรมขององค์กรอย่างจริงจัง ฉินซีก็รู้ว่า ตัวเองเริ่มมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อจ้านเซินบ้างแล้ว
ตอนนั้นจ้านเซินก็อายุแค่สิบกว่าปี หน้าตาแข็งแกร่ง รูปร่างสูงใหญ่ อุปนิสัยสง่างาม ว่องไวปราดเปรียว เป็นบุคคลที่เด็กสาวทุกคนล้วนอยากจะมองสักครั้งสองครั้ง
ตอนนั้นเป็นเพราะฟางฟางเกี่ยวข้องกับการรับผิดชอบฝึกอบรมฉินซี เกือบจะทุกการฝึกอบรมของฉินซี เขาล้วนอยู่ด้วย
การฝึกซ้อมเดี่ยวอย่างพวกการสังเกตเหล่านั้น ฉินซีไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย เขาก็ทำเรื่องของตัวเองอยู่ข้างๆ ตอนที่ฝึกซ้อมประเภทการโจมตี ฟางฟางไม่สามารถแนะนำท่าทางได้ หรือจำเป็นต้องการผู้ช่วยในการฝึกซ้อมด้วยกัน จ้านเซินก็จะทำหน้าที่เป็นคู่ต่อสู้ของฉินซี
เขาถูกบ่มเพาะให้เป็นผู้รับช่วงต่อขององค์กรในอนาคต ดังนั้นเขาจึงต้องได้รับการฝึกอบรมมากกว่าผู้อื่นมากนัก
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เขากลับไม่ได้ขาดการเข้าร่วมฝึกซ้อมใดๆของฉินซีสักครั้ง
แบบนี้……ทำให้ฉินซีไร้สิ้นหนทางที่จะไม่คิดมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นเธอก็ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟางฟาง เพียงแต่ถือว่าเหตุผลที่เขามา เป็นเพราะตัวเอง
ดังนั้นท่ามกลางการฝึกอบรมของทั้งสองคน ตอนที่เขาให้ความสนใจมองฉินซี ก็มักจะทำให้เธออดไม่ได้ที่จะใจเต้นจนหน้าแดงระเรื่อ
นี่เป็นความตื่นเต้นที่เด็กสาวทุกคนล้วนไม่สามารถอดกลั้นได้
ส่วนจ้านเซินนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ไม่มีความสนใจอะไรต่อเธอ ไม่อย่างนั้น……เขาจะเสียเวลาอันมีค่าของตัวเองมาฝึกซ้อมอย่างไร้ประโยชน์นี้ทำไมกัน
ตอนนั้นฉินซียังไม่เข้าใจ ทำไมทุกครั้งที่บรรยากาศระหว่างเธอกับจ้านเซินกำลังเป็นไปได้ด้วยดี ฟางฟางจะเข้ามาตัดบทพวกเขา
แน่นอนว่า ตอนนี้เธอเข้าใจการระมัดระวังของฟางฟางแล้ว
เพราะว่าจ้านเซินไม่ใช่ และไม่อาจจะกลายเป็นสามีคนหนึ่งได้
การฝึกอบรมสามปีสิ้นสุดลง ตอนที่ฉินซีกลายเป็นพนักงานคนหนึ่งในองค์กร บทสนทนาระหว่างเธอกับฟางฟางเพิ่งจะจบลง จ้านเซินก็มาเคาะประตูห้องของเธอ
ตอนนั้นเธอได้รู้ข้อมูลมาจากฟางฟางมากเกินไป จิตใจจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
แต่ความยินดีของจ้านเซินกลับสุดจะบรรยายได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซีเห็นความรู้สึกปั่นป่วนจากตัวเขาชัดเจนขนาดนี้
เมื่อคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าเศร้าเช่นกัน
ตอนนั้นจ้านเซินก็ยังอายุไม่ถึง 18 ปี กลับมีสีหน้าเรียบตึงตลอดเวลา แสดงท่าทีเย็นชาออกมา ไม่มีความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาวใดๆ
หลายแรมปีในภายหลัง ตอนนี้เป็นตอนที่ฉินซีได้พบกับจ้านเซินที่มีความสุขที่สุดแล้ว