บทที่ 1206 ถ้าหากเด็กหญิงคนนี้คือ ฉินซี
ทำไมตอนเช้าถังย่าถึงพูดว่า “ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาเธอได้ทุกเมื่อ?”
เพราะเธอคาดเดาเอาไว้แล้วว่าลู่เซิ่นจะไปที่นั้นและตรวจสอบกล้องวงจรปิด
ถ้าหากลู่เซิ่นมีความสามารถในการหาภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดที่อยู่รอบๆได้ แล้วการหาผู้ชายคนนั้น ไม่ช้าก็เร็วก็คงเจอ
แต่เธอก็ไม่ได้เร่งรีบ พูดตรงๆก็คือ รอให้ลู่เซิ่นเจอทุกอย่าง แล้วค่อยมาหาเธอ
“ในเมื่อพวกคุณไม่กลัวที่จะทิ้งเบาะแสไว้ให้ผมเจอ พวกคุณโทรหาผมเพื่อบอกทุกอย่างไม่ดีกว่าเหรอ” ลู่เซิ่นพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย “ทำไมต้องทำอะไรให้มันซับซ้อน? ถ้าหากผมไม่เอะใจเบาะแสที่คุณทิ้งไว้ หรือผมไม่ตั้งใจที่จะสืบหาล่ะ?”
ถังย่ายังคงยิ้มอย่างแผ่วเบา “มันก็หมายความว่าคุณฉินไม่มีความสำคัญกับคุณยังไงละคะ”
ในที่สุดเธอก็เอ่ยชื่อฉินซีขึ้นมา ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว พลันน้ำเสียงของเขาก็เย็นชาลงอย่างเห็นได้ชัด “ฉินซีอยู่กับคุณจริงๆ!”
ถังย่าโบกมือ “อย่าเพิ่งกังวลเลยค่ะประธานลู่ ฟังเรื่องราวที่ฉันจะเล่าให้คุณฟังก่อนดีไหมคะ”
ลู่เซิ่นมองเธอ
แต่ในสายตาที่จับผิดคนของเขา ถังย่ายังคงยิ้มจางๆ ราวกับว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเหมือนเดิมเลย
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะหนึ่งและในที่สุดลู่เซิ่นก็พูดขึ้น “พูดมา”
ถังย่าดูเหมือนจะคาดเดาคำตอบของลู่เซิ่นเอาไว้ก่อนแล้ว เธอยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องอดทนรอให้ฉันเล่าให้เสร็จ แล้วค่อยถาม”
ลู่เซิ่นเม้มริมฝีปาก ไร้คำตอบ
ถังย่าไม่สนใจเขา ก่อนที่จะเริ่มพูด
“สิ่งที่คุณพูดถูกทุกอย่าง ผ้าเช็ดหน้าและกล้องวงจรปิด เป็นหลักฐานที่เราทิ้งไว้ให้คุณเจอ” ถังย่ายิ้มจาง “ถ้าคุณตั้งใจที่จะค้นหามันต่อไป คุณก็จะเจอแน่นอน เพียงใช้คอนเน็กชั่นเล็กๆน้อยๆ ก็จะเจอว่าองค์กรของเรามีอยู่จริงๆ ฉันเคยพูดกับคุณไว้อย่างนั้น รอให้คุณพบเจอทุกอย่าง แล้วค่อยมาหาฉัน”
ลู่เซิ่นยังคงมองเธออย่างเงียบๆ ด้วยดวงตาที่เย็นชา
“ถึงมันจะค่อนข้างน่ารำคาญ และซับซ้อนไปสักหน่อย จริงๆก็เป็นบททดสอบอย่างหนึ่งของคุณล่ะนะ” ถังย่าพูดเหมือนเป็นเรื่อง “ถ้าหากคุณสนใจคุณฉินไม่มากพอ หรือไม่มีปัญญาหาองค์กรของเรา พวกเราก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังหรอกนะ”
ลู่เซิ่นหรี่ตาลง
ทั้งหมดทั้งมวลที่ถังย่าพูดมา ก็คงเป็นการประเมินเขาเล็กๆน้อยๆ
ตั้งแต่ตอนที่เขาลืมตาดูโลกจนถึงตอนที่เขาเข้ามาดูแลตระกูลลู่ ลู่เซิ่นอยู่ในตำแหน่งที่ต้องเป็นผู้ประเมินคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกประเมินเสียเอง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยภายในใจเขา
แต่เขาก็ไม่ได้พูด
เขากำลังรอให้ถังย่าพูดถึงฉินซี
ถังย่ายิ้มเล็กน้อย และเมื่อเธอพูดอีกครั้ง เธอก็เอ่ยชื่อฉินซีขึ้นมาจริงๆ
“แต่คุณเจอทุกอย่างเร็วเกินไป มันทำให้พวกเราค่อนข้างแปลกใจนะ คุณฉินคงสำคัญสำหรับคุณมากจริงๆ”
หลังจากที่ฟังเธอพูดเรื่องไร้สาระมานาน ในที่สุดลู่เซิ่นก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อีก เขาขมวดคิ้ว ก่อนพูด
“ตอนนี้ฉินซีอยู่ที่ไหน? พวกคุณเอาฉินซีไปไว้ไหน”
แต่ถังย่าก็ไม่ได้รีบร้อนตอบกับคำถามของเขา น้ำเสียงของเธอยังคงเอื่อยๆไม่มีความเร่งรีบ “ประธานลู่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ คุณสนใจคุณฉินจริงๆ ฉันเข้าใจแล้ว แต่คุณเคยคิดไหม ว่าสำหรับคุณฉินแล้ว คุณสำคัญกับเธอหรือเปล่า?”
ใบหน้าของลู่เซิ่นเคร่งขรึมทันที “หมายความว่าอะไร?”
ถังย่ามองตรงไปที่ลู่เซิ่นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดูเหมือนว่ายิ่งเขาโกรธมากเท่าไหร่ถังย่าก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
“คุณเคยคิดบ้างไหม ว่าที่คุณฉินความจำเสื่อม ไม่ใช่เพราะแม่ของเธอกระโดดตึก?”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วมุ่น “หมอตรวจสอบแล้วว่าจริง เขาไม่โกหกฉันแน่”
ถังย่าส่ายหัว “หมอไม่ได้โกหกคุณก็จริง แต่ว่า ถ้าหากมันมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น และเขาไม่สามารถบอกเหตุผลการวินิจฉัยที่แท้จริงให้คุณได้ล่ะ”
ลู่เซิ่นมุ่นคิ้ว มองไปยังถังย่า “อะไรคือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด?”
ถังย่าพยักหน้า “อย่างเช่น ถ้าหากความทรงจำนี้ ไม่ได้หายไปเพราะสมองสั่งการเอง แต่เป็นเพราะ มีคนปิดกั้นความทรงจำส่วนนั้นของเธอล่ะคะ”
ลู่เซิ่นเข้าใจทุกคำที่ถังย่าพูด แต่เมื่อเอามาเชื่อมต่อกันมันก็ทำให้เข้าใจยากขึ้นเล็กน้อย
“ปิดกั้นความทรงจำ?” เขาย้ำ
ถังย่ายิ้ม “ฉันเลยบอกยังไงล่ะ ว่าไม่ต้องรีบร้อนกังวลใจ รอให้ฉันเล่าให้จบก่อน คุณจะเข้าใจ”
สีหน้าลู่เซิ่นมืดมนลง แต่เขาก็ไม่พูดโต้แย้งอะไรออกไป
ถังย่าเห็นว่านี่เป็นการยอมเงียบของลู่เซิ่น เธอจึงเล่าต่อ
“สาวน้อยคนหนึ่ง ที่เข้าร่วมในค่ายฝึกเมื่อตอนเธออายุได้สิบขวบ ในระหว่างการฝึกเธอโดดเด่นขึ้นมาเพราะความสามารถในการสังเกตและความจำที่เป็นเลิศ” ถังย่ายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบร้อน “หลังจากผ่านไปสามปี เธอก็สามารถผ่านการประเมินและก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกในองค์กรอย่างเต็มตัว”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว
สาวน้อย?
ใคร?
ฉินซี?
แน่นอนว่าเขารู้ว่าถังย่าจะไม่เล่าเรื่องไร้สาระขึ้นมาในตอนนี้ แต่สิ่งที่ถังย่าพูดอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างแปลก
ถ้าสาวน้อยคนนี้คือ ฉินซี …
แล้วตอนอายุได้สิบสาม ก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กร?
เมื่อเห็นว่าลู่เซิ่นต้องการถามคำถาม ถังย่าจึงโบกมือไม่ให้เขาพูด ก่อนพูดต่อ “ตั้งแต่อายุสิบสามเรื่อยไปจนถึงยี่สิบปีเธอเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร และทำงานให้องค์กรโดยสำเร็จมาตลอด แต่มีครั้งหนึ่ง …เหตุการณ์กู้ระเบิดที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองหนาน หน้าที่ของเธอตอนนั้นคือต้องหารหัสกู้ระเบิด เพื่อให้ตำรวจสามารถรื้อระเบิดส่วนใหญ่ได้ และเพื่อที่จะให้งูมันออกมาจากโพรง เลยต้องเหลือระเบิดไว้เพื่อให้มันระเบิดตรงเวลา ”
ใบหน้าของลู่เซิ่น มืดลงทันที
ถังย่า เธอกำลังพูดถึงใคร เขาสามารถแน่ใจได้
คนที่เธอกำลังพูดถึงคือ ฉินซี
เหตุการณ์ระเบิดของนิทรรศการภาพถ่ายของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองหนาน บนโลกนี้คงไม่มีเรื่องที่มันบังเอิญแบบนี้
เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นตอนที่เขาเจอฉินซีครั้งแรกหรือไม่?
ตอนนั้นที่เธอกล้าหาญและมีท่าทีไม่หวั่นต่อสิ่งใด ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนกล้าหาญ อาจแต่เป็นเพราะ … เธอรู้ทุกอย่างแล้ว
ลู่เซิ่นรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร
ในเวลานั้นเขาเห็นฉินซีแตกต่างจากคนอื่น มันเป็นแค่การแสดงของเธอ
แต่ตอนนี้รู้เหตุผลหมดแล้ว … ถ้าการแสดงของเธอและตัวตนสัมพันธ์กับใจที่เต้นครั้งแรกของเขา
ดูเหมือนจะเป็นไร้สาระ
แม้ว่าจะมีความคิดมากมายดังก้องอยู่ภายในใจของเขามากมายก็ตาม หากแต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย เพื่อไม่ให้ถังย่าเห็นความผิดปกติ
ถังย่ายังคงเล่าเรื่องราวของเธอ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เร่งรีบ