บทที่ 1210 ยังไม่ตายใจ
ลู่เซิ่นจะหวั่นไหวง่ายๆ ด้วยคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไม่ว่าใครจะอยู่ข้างกายฉินซีนานที่สุด หรือจะอยู่ข้างกายเธอตอนนี้
ฉินซีสูญเสียความทรงจำ ก็ยังสามารถอยู่กับตัวเธอเองได้
นั่นหมายความว่า เธอควรเป็นของตัวเธอเอง ไม่ใช่ของชายคนไหนที่ไปบังคับเธอให้มาอยู่ข้างกัน
… แต่ถังย่า อาจจะไม่ได้แสดงละครทั้งหมด
อย่างน้อยก็เป็นความผิดพลาดของเธอที่เอ่ยชื่อจ้านเซินออกมา
ไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอไม่ได้ทุ่มเทแสดงละครมากพอ แต่เป็นเพราะว่า… เธอกำลังพูดถึงเรื่องเศร้าของเธอเองที่อยู่ในใจ
รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏบนใบหน้าของลู่เซิ่น
ดูเหมือนว่าถังย่า… จะมีใจให้จ้านเซินจริง
นี่คือจุดอ่อนของเธอ
หากใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ คงมีหวัง
…
ทางด้านของถังย่าเมื่อเธอเดินกลับไปที่ลานจอดรถ พลันใบหน้าของเธอกลับขาวซีด
เธอรู้ดีว่าเธอทำงานไม่เสร็จสมบูรณ์ ใช่ … เธอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
แต่ … เมื่ออารมณ์ของเธอปะทุขึ้นมาแบบนั้น เธอจึงรู้ว่า จริงๆแล้วเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย
เธอไม่เคยกล้าคิดถึงเรื่องนี้ และไม่อยากยอมรับ ว่าเธอมีความรู้สึกบางอย่างกับจ้านเซิน
แต่เธอรู้ดี ว่าความรู้สึกนี้จะไม่เผยออกไปแน่นอน ไม่เพิ่มขึ้น และไม่มีวันเป็นจริง
สิ่งที่เธอทำได้คือ ต้องซ่อนทุกอย่าง
แม้ในบางครั้งเธอจะรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ เมื่อเห็นความรักของลู่เซิ่นที่มีต่อฉินซี ความขมขื่นในอก มันทำให้เธอเสียการควบคุมของตัวเอง
เธอเข้าไปนั่งในรถ ยังไม่ทันที่จะสตาร์ท โทรศัพท์กลับสั่นขึ้นมา
ถังย่าตัวสั่นอย่างกะทันหัน กุญแจที่อยู่ในมือของเธอก็ตกลงที่พื้นรถ
เธอยื่นมืออันสั่นเทา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ไม่แสดงหมายเลขในโทรศัพท์ว่าใครเป็นคนโทรมา แต่เธอรู้ว่าคือใคร
เธอหลับตาลง ก่อนจะรับโทรศัพท์
“ฉันเอง” เสียงของจ้านเซินดังขึ้นจากปลายสาย
เสียงของเขาเหมือนเช่นปกติ แต่มันทำให้ขนอ่อนของถังย่าลุกชัน
“ทานข้าวกับลู่เซิ่นเสร็จแล้วเหรอ?”เสียงของเขาสงบ เหมือนเช่นคุยกับเธอทุกที
ถังย่าใช้เวลานานในการพูดออกมาเพียงสั้นๆ “ใช่”
“สิ่งที่ควรพูด ก็พูดแล้ว?” เสียงของเขายังคงดูไม่ใส่ใจนัก แต่ ถังย่าก็ตัวสั่นเทาขึ้นมาอีกครั้ง
“พูด…ฉันพูดแล้ว” ถ้ามีคนเห็นถังย่าที่ปกติหัวแข็ง ดื้อรั้น แต่ตอนนี้พูดติดอ่างแบบนี้ คงจะต้องรู้สึกตกใจอย่างแน่นอน “พูดไปแล้วว่า ตอนนี้ฉินซีอยู่กับเรา พูดถึงสถานะของเธอ และความสัมพันธ์ของคุณกับเธอแล้ว”
“ลู่เซิ่นคนนั้น ยังไม่ตายใจสินะ” จ้านเซินถาม
เธอพยักหน้าตอบแม้จะแค่คุยผ่านโทรศัพท์ก็ตาม “ใช่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้คิดอะไร”
“อย่างนั้นสินะ” จ้านเซินลากเสียง ก่อนพูดขึ้น “แล้ว เธอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปหรือเปล่า?”
ถังย่ามือสั่นเทา
“ฉัน… …”ถังย่า พูดไม่ออก แต่เธอไม่สามารถโกหกอะไรเขาได้ เงียบไปสักพักอย่างไม่รู้ว่าจะสารภาพอย่างไรดี
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ”น้ำเสียงของเขานุ่มนวลขึ้น แต่มันกลับทำให้ ถังย่ารู้สึกกลัวมากกว่าเดิม “แต่ ความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ ยังไงก็คือความผิด ใช่ไหม?”
ถังย่าทำได้เพียงพยักหน้า “ใช่”
“รอเธอกลับมาแล้วค่อยตัดสินโทษของเธอแล้วกัน” เสียงของเขาฟังดูโอบอ้อมอารี แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้มีความเมตตาสักนิดเลย “จะโดนอะไร เธอรู้ใช่ไหม?”
ถังย่าพยักหน้าอย่างยากลำบาก “ฉันรู้”
“ก็ดีที่รู้”คำพูดของจ้านเซินดูเร่งรีบ คล้ายกับมีเรื่องอะไรที่เร่งด่วน “ยังดีที่ได้พูดกับลู่เซิ่นแล้ว แต่ยังไงเหมือนมันจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่อย่างงั้นเธอก็ต้องกลับไป หาวิธีทำให้มันลืมชื่อของฉันสะ กลับไปหาเสี่ยวA เขารู้ว่าจะต้องทำยังไง แค่นี้แหละ ฉันวางก่อน”
หลังจากพูดจบ เขาก็วางสายไปโดยไม่รอให้ถังย่าพูดจบ
หน้าของถังย่าซีดขาว ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในตอนนี้หลังของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบการลงโทษในองค์กรมีทั้งหมดห้าคน ทุกคนไม่รู้จักชื่อจริงของพวกเขา แต่จะเรียกแทนพวกเขาด้วยชื่อรหัสเท่านั้น ตั้งแต่เสี่ยว A เล็กไปจนเสี่ยว E และการลงโทษหนักเบาขนาดก็จะตามชื่อเลย เสี่ยวA จะรับผิดชอบการลงโทษสถานเบา ส่วนเสี่ยวE จะลงโทษสถานหนัก
ครั้งนี้ จ้านเซินเตรียมเสี่ยวA มาให้ แสดงว่า … เธอก็ไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไรที่ร้ายแรงขนาดนั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ถังย่าก็โล่งใจ ก่อนหยิบกุญแจขึ้นมาเพื่อสตาร์ทรถ และขับตรงดิ่งกลับไปที่ บริษัท
…
ลู่เซิ่นนั่งอยู่ในร้านอาหารได้สักพัก เขาจัดการข้อมูลที่ถังย่าเพิ่งจะเผยออกมาให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากร้านอาหาร
เดินออกมาได้สักพัก ทันใดก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
คนที่โทรมาคือหลินยี่
ลู่เซิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ช่วงนี้หลินยี่ทำตัวไร้สาระมาก ไม่น่าจะมีอะไรมาติดต่อกับเขาได้
ทำไมโทรมากะทันหัน
แม้ว่าลู่เซิ่นจะงงงวย แต่เขาก็ยังรับโทรศัพท์
เสียงของหลินยี่ดังขึ้นจากปลายสาย “ลู่เซิ่น อยู่ไหน”
“เพิ่งเจอกับถังย่า” ลู่เซิ่นพูดอย่างรวบรัด “มีอะไร?”
“ฉันเจอข้อมูลอะไรบางอย่าง ถ้าหากแกอยากเห็น พรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปส่งที่บริษัทแก”หลินยี่กล่าว
แน่นอนลู่เซิ่นก็รู้ว่า “ข้อมูล” ที่หลินยี่พูดถึงในตอนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉินซีหรือเกี่ยวข้องกับองค์กร เขามองขึ้นไปข้างบน ร้านอาหารก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลลู่เสียด้วย เขาตอบกลับไปว่า “เดี๋ยวฉันจะกลับไปที่บ้านตระกูลลู่ ฉันมีอะไรจะพูดกับแกพอดี”
หลินยี่ตอบรับ ทันใดลู่เซิ่นก็สั่งให้คนขับรถหันทิศทางขับกลับไปยังบ้านตระกูลลู่
ตั้งแต่มาที่ประเทศ F และชิงหยวนได้ตกแต่งใหม่เสร็จสรรพ ลู่เซิ่นแทบไม่ได้กลับมาอยู่ในบ้านตระกูลลู่อีกเลย
ยากมากที่วันหนึ่ง จะกลับไปมาสองครั้ง
พ่อบ้านรู้สึกยินดีเล็กน้อยที่เขามา แถมยังต้องการให้ลู่เซิ่นร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกันอีก
คืนนี้ลู่เซิ่นไม่ได้จะมากินอะไร เขาโบกมือให้พ่อบ้าน ก่อนกำชับว่าห้ามบอกลู่โยวโยวว่าเขากลับมา และเดินตรงไปยังห้องของหลินยีทันที
ประตูห้องของหลินยี่เปิด วู๋ชิงก็รออยู่ที่หน้าประตูห้องพอดี เมื่อเขาเห็นลู่เซิ่นมาถึงเขาก็พยักหน้าอย่างนอบน้อมก่อนพูด “คุณชายลู่”
ลู่เซิ่นพยักหน้า เดินตรงเข้าไปในห้อง
หลินยี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาถือแท็บเล็ตในมือ สายตาจดจ้องอยู่ที่หน้าจออย่างตั้งใจ
“อะไร”ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ เดินไปข้างเขา ก่อนเปิดปากถาม
หลินยี่ยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้เขาโดยตรง “ฉันขอให้คนขององค์กรหยินเฟิง รวบรวมข้อมูลทั้งหมดตลอดสิบปีที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนั้นมาให้ แกดูสิ พอมีประโยชน์อะไรไหม?”