บทที่ 1222 อย่างค่อยเป็นค่อยไป
จ้านเซินเองก็รับมาด้วยความเต็มใจ ปล่อยให้ฉินซีโค้งปากคว่ำทำหน้าบูดบึ้งอยู่คนเดียว
ราวกับว่าเธอเป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องรู้สภาพร่างกายของตัวเองมากที่สุดอย่างไรอย่างนั้น
แต่โชคยังดีที่พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้หลีกเลี่ยงเธอ อีกทั้งวิเคราะห์ผลรายงานนั่นต่อหน้าเธอ เพราะอย่างนี้ต่อให้เธอจะดูหรือไม่ดูก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
จากการวิเคราะห์ของคนสวมชุดกาวน์ระบุว่าสภาพร่างกายของเธอไม่มีอะไรผิดปกติ ทั้งยังมีความมั่นคงทางจิตใจมากอีกด้วย
“เป็นเรื่องปกติที่สภาพร่างกายจะไม่เป็นไปตามในชั่วขณะ” คนสวมชุดกาวน์ชี้ไปที่ตัวบ่งชี้ “จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า ความอดทนของกล้ามเนื้อยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เพราะอย่างนั้นแผนที่กำหนดไว้ก็ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
ฉินซีลอบเลิกคิ้วขึ้น
ที่เธอบอกกับจ้านเซินว่าตัวเองไม่สามารถทนต่อการฝึกที่หนักหน่วงได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความขี้เกียจของตัวเอง แต่เพราะอะไรคนในเสื้อกาวน์ถึง…พูดแบบนี้ล่ะ
จู่ๆเธอก็รู้สึกได้ว่าคนสวมชุดกาวน์นั้นเต็มไปด้วยปริศนา
แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเวลานี้ไม่เหมาะที่จะสำรวจ เธอทำได้แค่ควบคุมสายตาของเธอให้หยุดนิ่งและตั้งใจฟังต่อไป
จ้านเซินพยักหน้า ดูเหมือนว่าจะทำตามคำแนะนำของคนสวมชุดกาวน์
ทั้งสองคนคุยกันอีกสองสามประโยค จ้านเซินก็เก็บรายงานของฉินซีเอาไว้ราวกับว่ามีแพลนจะกำหนดแผนใหม่
เขาไม่ใช่คนที่จะมัวพูดเรื่องสัพเพเหระ เมื่อได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วก็หันหลังจะเดินออกไป
เดินไปได้ครึ่งทาง เมื่อเห็นว่าฉินซีไม่ได้เดินตามไปด้วยจึงฝีเท้าพลางหันหน้ามามองที่เธอ
เมื่อฉินซีเห็นว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้พูดคุยและอยู่กับคนในเสื้อกาวน์ตามลำพัง จึงทำได้แค่เพียงมองไปที่คนในเสื้อกาวน์ด้วยความสับสน จากนั้นก็หันตัวกลับเดินตามจ้านเซินไป
จ้านเซินที่เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว รอให้ประตูด้านหลังปิดสนิทแล้วจึงเอ่ยปากถาม
“เธอสนใจเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
แน่นอนว่าฉินซีไม่ยอมรับ เพียงแต่ส่ายหัวไปอย่างนั้น “ฉันก็แค่นึกชื่อของเขาไม่ออก ก็เท่านั้น ”
จ้านเซินมองไปที่เธอด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดูไม่ออกว่าเขาเชื่อคำพูดของเธอไหม เพราะเพียงแค่พยักหน้าอย่างขอไปที ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฉินซีเดินตามการก้าวเท้าของเขา ไปข้างหน้า
จ้านเซินเดินตรงไปถึงประตูหอพักของฉินซี
“พักผ่อนซะนะ ตารางวันพรุ่งนี้ของเธอจะอิงตามแผนใหม่” สายตาที่หนักแน่นของจ้านเซิน ราวกับกำลังจับจ้องไปที่ฉินซี “ฉันหวังว่าพรุ่งนี้เธอจะไม่ถูกทำโทษอีกนะ”
แต่ฉินซีกลับหัวเราะเยาะ “ฉันจะโดนลงโทษหรือไม่โดนลงโทษ มันก็ขึ้นอยู่กับนายไม่ใช่หรือไง”
เมื่อพูดจบ เธอไม่ได้สนใจสีหน้าของจ้านเซินผลักประตูและเดินเข้าไปอย่างไม่หันกลับมามองอีก
แต่จ้านเซินกลับเดินตามเข้ามา
ฉินซีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจพลางหันหน้าไปหาเขา ทั้งๆที่ตั้งใจจะพูดดีๆด้วย แต่แล้วจ้านเซินก็กลับขึ้นเสียงและพูดขึ้นมาก่อน
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ยามที่ประตูของเธอจะออกอย่างเป็นทางการ”
ฉินซีขมวดคิ้ว
ตอนนี้ไม่ต้องการยามเฝ้าแล้วอย่างนั้นเหรอ
ช่วงเวลานี้…เร็วกว่าที่เธอคาดการณ์เอาไว้มาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ตอนที่เธอถามจ้านเซินว่าทำไมต้องมีคนคอยจับจ้อง เขาตอบกลับอย่างหนักแน่นว่าเป็นเพราะเกรงว่าความลับจะรั่วไหล
เดิมที่ฉินซีคาดการณ์ไว้ว่า อย่างน้อยเขาคงรอให้ตัวเองถูกล้างสมองจนหมดถึงจะค่อยๆปลดยามเฝ้า
นี่ผ่านมาแค่วันเดียวเอง ทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนใจล่ะ
ดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นความสงสัยของฉินซี จ้านเซินพูดขึ้นอย่างยิ้มๆพลางโบกรายงานของเธอที่อยู่ในมือ “เหตุผลหลักก็คือ…ตอนนี้ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าเธอไม่มีความสามารถที่จะออกจากที่นี่”
มุมปากของฉินซีเหยียดจนเป็นเส้นตรง พูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า “ฉันอยากพักผ่อน”
เธอไล่เขาอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่แยแสและแน่นอนว่าจ้านเซินเองก็ดูออก เขายิ้มอย่างสุภาพพลางเอ่ยปาก “งั้นเธอก็พักผ่อนซะนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็ออกจากห้องไป
ฉินซีขมวดคิ้ว สายตาจับจ้องไปที่บานประตูที่ปิดอยู่
…ถึงแม้เหตุผลที่จ้านเซินเพิ่งพูดเรื่องการยกเลิกการควบคุมเธอนั้นจะดูมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง แต่ฉินซีกลับไม่คิดปักใจเชื่อ
สองสามวันที่ผ่านมา สภาพร่างกายของเธอแย่มากจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เธอเองยังสงสัยด้วยซ้ำว่าเวลานั้นตัวเองจะมีแรงมากพอที่จะออกไปจากทางเดินนี้ได้ไหม
แต่ในกรณีนั้น ที่ทางเข้าของตัวเองยังมียามเฝ้าอีกสองคน
ตอนนี้ตัวเองเป็นเช่นนี้แล้ว…แต่กลับไม่มีข้อกำหนดอะไรเลยงั้นเหรอ
ฉินซีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เบื้องหลังเรื่องนี้…เกรงว่าจ้านเซินจะมีแผนอื่นอีก
แต่ในเวลานี้ ฉินซีไม่มีกะจิตกะใจจะครุ่นคิดเลยจริงๆ
ถึงแม้เสี่ยวAจะดูเข้าใจสัดส่วนได้เป็นอย่างดี แต่การลงโทษในตอนเช้าก็ส่งผลกระทบต่อเธออยู่ไม่น้อย
เมื่อเทียบกับทางกายภาพแล้ว มันส่งผลต่อสภาพจิตใจมากกว่า
ความรู้สึกน่าอึดอัดแบบนั้น มันทำให้เธอนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนที่ตัวเธอพยายามฆ่าตัวตายที่ทะเลสาบหลังรีสอร์ทชิงหยวน
เธอไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร เพราะมันทำให้เธอนึกถึงความตาย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด หรือเพราะ…มันทำให้เธอคิดถึงลู่เซิ่น
แต่เหตุผลมันไม่สำคัญอีกต่อไป ตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน
และอยากจะนอนหลับสบายๆ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินซีค่อยๆลืมตาขึ้น ในวินาทีต่อมาการตอบสนองก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม…ว่ามีคนอยู่ข้างกายเธอ
เธอลืมตาขึ้นทันที สายตาบังเอิญสอดประสานเข้ากับจ้านเซิน
จ้านเซินไม่รู้สึกเคอะเขินเลยแม้แต่น้อยที่เข้าไปในห้องของคนอื่นโดยไม่บอกกล่าว สายตาจับจ้องไปที่ฉินซีอย่างเงียบๆ มองเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก “ตื่นแล้วก็ลุกสิ”
ฉินซีนั่งตัวตรงพลางขมวดคิ้ว เงยหน้ามองจ้านเซิน “ทำไมนายถึงชอบเข้ามาในห้องคนอื่นโดยไม่บอกกล่าวแบบนี้กันนะ”
สายตาของจ้านเซินกลับยังคงสงบนิ่ง “ที่นี่ล้วนแต่เป็นที่ของฉัน ไม่มีห้องของใครอะไรทั้งนั้น จริงไหม”
ฉินซีเม้มปาก เธอเลิกต่อล้อต่อเถียงกับเขาและลุกไปล้างหน้าล้างตา
เมื่อเธอเดินออกมาก็พบกับอาหารเช้าง่ายๆสองสามอย่างวางอยู่บนโต๊ะกาแฟตัวเล็ก
“กินสิ” จ้านเซินเฉยคางเธอขึ้น “ฉันจะบอกเกี่ยวกับแพลนใหม่ให้เธอฟัง”
ฉินซีเข้าใจโดยทันทีว่านี่คือจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขา
เธอรู้ว่าในเวลานี้ควรจะทำตามคำสั่ง เธอนั่งลงและกินอาหารโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
จ้านเซินพอใจกับการว่านอนสอนง่ายของเธอ เขามองดูเธอหยิบช้อนขึ้นมาและกินอาหารพลางเอ่ยปากพูด “แผนการฝึกโดยคร่าวๆไม่แตกต่างกับแผนเดิมมากนัก โดยยึดถือตามคำแนะนำของหมอคือจะลดการฝึกร่างกายของเธอให้น้อยลง…”
ฉินซีฟังโดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เธอไม่ต้องการฝึกอบรม“หลักสูตร”พวกนี้เลยแม้แต่น้อย
เธอรู้ดีว่าก่อนหน้านี้ ตัวเองอาศัยความรักของฟางและเหยาหมิ่นที่มีต่อตนเองเป็นตัวหนุนไม่ให้หลักสูตรพวกนั้นเข้ามาควบคุมความคิดของตัวเอง
แต่เธอในตอนนี้ แม้ไม่มีความมั่นใจนี้ แต่ก็สามารถอยู่รอดมาได้
เธอไม่อยากเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึก
แต่…หากต้องเรียนหลักสูตรพวกนั้นจริงๆ ตอนนี้เธอเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดผลอะไรตามมาหลังจากนี้
เมื่อนึกถึงการลงโทษแบบเมื่อวาน ไม่จำเป็นต้องให้จ้านเซินเน้นย้ำเลย เพราะตัวเธอเองก็ไม่อยากจะสัมผัสมันอีกครั้ง
อย่างนั้นแล้ว…ต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากหลักสูตรนี้ล่ะ
ฉินซีที่กำลังคิดหาคำตอบของคำถามนี้อยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจ้านเซินตะโกนเรียกชื่อของตัวเองอยู่ “ฉินซี?”
ฉินซีเงยหน้าขึ้น มองไปที่เขา “ว่าไง”
จ้านเซินเม้มปาก แววตาของเขาดูจะไม่พอใจนักเมื่อเห็นท่าทางที่ดูเหม่อลอยของเธอ