บทที่ 1224 มีวิธีหนี
“เข้ามาสิ” คนที่อยู่ในห้องพูดเสียงเรียบ
แต่ฉินซีกลับตกใจ ท่าทางก็เปลี่ยนไประวังมากยิ่งขึ้น
เธอยืนนิ่งที่ประตูห้องตรวจ ในใจคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะกลับไปนั้นมีมากน้อยแค่ไหน
แต่กว่าที่เธอจะคิดได้ ประตูห้องตรวจก็เปิดออก
คนสวมชุดกาวน์จับที่บานประตูพลางมองลงมาที่ฉินซี “มาหาฉันไม่ใช่เหรอ”
เมื่อฉินซีเห็นว่าไม่สามารถซ่อนตัวได้ เธอจึงใช้ความหิวของตัวเองมาเป็นข้ออ้าง “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยจะมาดูว่ามียาให้กินไหม”
นี่เป็นสาเหตุที่เธอจงใจไปที่โรงอาหารวันนี้ และจุดประสงค์ที่ออกมาก่อนเวลา
เธอจงใจทำให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้เธอไม่สบาย เพราะหากมีคนจับได้ก็จะได้มีเหตุผลไว้อธิบาย
คนสวมชุดกาวน์ยักไหล่ ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรกับคำพูดของเธอ พูดขึ้น “เข้ามาคุยกันข้างในสิ”
ฉินซีมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังพลางเดินตามเขาเข้าไป
ห้องตรวจไม่ได้แตกต่างไปจากที่มาครั้งก่อนนัก อย่างน้อยก็ในสายตาของฉินซี หลังจากที่คนสวมชุดกาวน์บอกให้เธอเข้าไป ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธออีก เขาเดินไปที่กองเครื่องจักรพวกนั้น ไม่รู้ว่ากำลังพิมพ์อะไรอยู่บนแป้นพิมพ์
ฉินซีรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้จะพูดอะไร เธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปาก “คุณรู้ว่าทำไมฉันถึงมาหาคุณ”
มือของคนสวมชุดกาวน์ยังคงพิมพ์ไม่หยุด แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้น “ฉันไม่รู้”
ฉินซีเม้มปาก ไม่มัวพูดอ้อมค้อม พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “คุณรู้ว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ยังไง”
มือของคนสวมชุดกาวน์หยุดนิ่ง เขาเงยหน้ามองเธอจากนั้นก็เอ่ยถาม “เธอบอกว่าไม่สบายไม่ใช่เหรอ ไม่สบายตรงไหน”
ฉินซีเหลือบมองเขาด้วยสายตาที่ระมัดระวัง “ฉันปวดหัวนิดหน่อย”
คนสวมชุดกาวน์ใช้คางชี้ไปทางเตียง “งั้นเธอขึ้นไปบนเตียงก่อน เดี๋ยวฉันตรวจให้”
ฉินซียืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นอนลงบนเตียงตามที่เขาบอก
ครั้งนี้คนสวมชุดกาวน์ไม่ได้มาพร้อมกับแผ่นแปะเหมือนครั้งที่แล้ว แต่มาพร้อมกับเครื่องฟังตรวจ
เขาเข้ามาใกล้มาก มากถึงจุดที่ฉินซีคิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ขนาดนี้ เขาเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “เธออยากไปงั้นเหรอ”
ฉินซีไม่ได้ใสซื่อถึงขนาดที่จะเปิดเผยทุกอย่างในเวลานี้ เธอเพียงแต่ถามกลับอย่างระมัดระวัง “คุณมีวิธีไปจากที่นี่งั้นเหรอ”
คนสวมชุดกาวน์หัวเราะเบาๆ “แน่นอนว่าฉันเป็นอิสระ”
ฉินซีไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปที่เขา
คนสวมชุดกาวน์รู้ได้ทันทีว่าเธอหมายถึงอะไร แต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมา เขาเปลี่ยนไปหยิบเครื่องวัดความดันเลือดเพื่อวัดความดันให้ฉินซี จากนั้นจู่ๆก็เอ่ยขึ้น “ถ้าเธออยากไปจากที่นี่ ฉันก็พอจะมีลู่ทาง”
ฉินซีมองเขาอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
คนสวมชุดกาวน์พูดขึ้นแต่กลับไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่แก้สายรัดวัดความดันเลือดที่แขนของเธอออก จากนั้นก็ก้มหน้าเขียนสองสามประโยคลงบนกระดาษ “ทำตามกำหนดการนี้ กลับไปพักสักนิดก็หายแล้ว”
ฉินซีรับกระดาษโน้ตมาพลางกวาดสายตา สีหน้าของเธอผงะจากนั้นมันก็ถูกเธอซ้อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว เธอพยักหน้าพลางพูดขึ้น “ค่ะ”
“งั้นก็กลับไปพักได้แล้ว” คนสวมชุดกาวน์ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว จากระยะไกลนี้ เขามองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้งซึ่ง ฉินซีไม่สามารถเข้าใจได้
ฉินซีลุกขึ้นจากเตียง แต่ไม่ได้รีบออกไป แต่กลับเดินไปหาคนสวมชุดกาวน์ ถามขึ้นด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน “คุณ…ชื่ออะไรเหรอ”
คนสวมชุดกาวน์ยิ้มเล็กน้อย “คำถามนี้รักษาอาการปวดหัวเธอไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็หันกลับไปที่กองเครื่องจักรของตัวเอง
ฉินซีรู้ว่าตัวเองไม่สามารถถามข้อมูลอะไรเพิ่มเติมได้ เธอจึงหยิบกระดาษโน้ตและกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เธอปิดประตูอย่างระมัดระวัง ฉินซีครุ่นคิดพลางเดินไปที่ห้องน้ำ จากนั้นจึงค่อยๆเปิดกระดาษโน้ตดูอย่างละเอียด
“เป็นเหมือนฉันเมื่อไหร่ เธอถึงจะไปจากที่นี่ได้”
ฉินซีจ้องมองคำเหล่านี้เป็นเวลานาน
เธอไม่สามารถเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้โดยทันที
แต่เธอก็รู้อีกเช่นกันว่าไม่สามารถเก็บกระดาษโน้ตนี้ไว้ได้
ดังนั้นฉินซีจึงแช่กระดาษให้เปียกก่อน แล้วจึงฉีกเป็นชิ้นๆทิ้งลงชักโครก
หลังจากแน่ใจว่าทิ้งเศษกระดาษพวกนั้นไปหมดแล้ว ฉินซีจึงเปิดประตูและเดินออกไป
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท เธอไม่มีโทรศัพท์มือถือ ทีวีก็ดูไม่ได้ ช่วงเย็นการไม่มีแพลนอะไรทำให้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูนั่นนี่ในหอพัก
แต่คืนนี้เธอไม่ได้เชยชม ไฟในห้องปิดอยู่ เธอเพียงแค่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างอย่างเงียบๆ มองไกลออกไป
เมื่อเห็นท่าทางของคนสวมชุดกาวน์ในวันนี้ มันแสดงออกว่าเขารู้เจตนาของตัวเธอเองมานานแล้ว
แต่…เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาคอยช่วยเธอมาโดยตลอด ทำไมวันนี้กลับไม่พูดอะไรเลยล่ะ
ฉินซีกลอกตาพลางคิดได้ว่า…ที่ห้องตรวจมีกล้องวงจรปิด
อาจเป็นเพราะทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกบันทึกเอาไว้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาและทำได้แค่ยื่นกระดาษโน้ตให้ตัวเองเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเกิดคำถามใหม่ขึ้น…สิ่งที่เขาเขียนในกระดาษโน้ตนั้น หมายความว่าอย่างไร
เป็นเหมือนกับเขาอย่างนั้นเหรอ
ฉินซีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นในใจของเธอ เธอเข้าใจแล้ว
ที่คนสวมชุดกาวน์บอกว่าเขาสามารถออกไปจากที่นี่ได้ นั่นก็เพราะว่าตอนที่เขาไปทำงาน แน่นอนว่าต้องออกไปได้สิ
เป็นเหมือนกับเขา…นั่นหมายความว่าหากเธอได้รับโอกาสได้ทำงาน เธอก็จะสามารถออกจากไปได้
จะกำจัดองค์กร ขั้นแรกต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน
ทันใดนั้นความจริงก็กระจ่างแก่ฉินซี คิ้วของเธอค่อยๆคลายออก
แผนการค่อยๆปรากฏขึ้นในใจของเธอ
เธอหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านไปพลางๆ ก่อนจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว
……
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอไม่ได้ถูกปลุกด้วยนาฬิกาปลุกของตัวเอง แต่ตื่นขึ้นเพราะใครบางคน
“ฉินซี”
เสียงนี้มัน…
ฉินซีลืมตาขึ้นทันที ก็สบตากับจ้านเซินพอดี
จ้านเซิน…กลับมาแล้วเหรอ
ฉินซีถอยไปด้านหลังโดยทันที เมื่อออกห่างจากจ้านเซินแล้วเธอก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่งตัวตรง
เธอไม่สามารถบ่นเรื่องการเข้า-ออกห้องตามอำเภอใจโดยไม่บอกกล่าวของจ้านเซินได้ ทำได้เพียงแค่เหล่มองเขาอย่างระแวดระวัง “มีอะไร”
“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ” ท่าทางของจ้านเซินดูสุขุมมาก เขาเป็นฝ่ายถอยหลังไปสองสามก้าว ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงการระวังตัวของฉินซี
แต่ท่าทีของเขาไม่ได้ทำให้ฉินซีรู้สึกสบายใจ เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างระมัดระวัง ล้างหน้าล้างตาเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกมา
จ้านเซินยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ไม่ออกไปไหน
…เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มาเพื่อปลุกเธอให้ตื่นเพียงเท่านั้น
ฉินซีตั้งสติพลางเดินไปหยุดที่ด้านข้างของเขา “คุณมาหาฉันมีธุระอะไร”
จ้านเซินเลื่อนสายตามองมาที่เธอ จากนั้นไม่นานก็เริ่มเอ่ยปาก “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่…มีเรื่องอยากจะถามเธอ”
ฉินซีรู้สึกไม่ดีโดยสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่เธอจะถามว่าเรื่องอะไร จู่ๆประตูหอพักก็ถูกเปิดออก
คนที่เข้ามาก็คือ…คนสวมชุดกาวน์