บทที่ 1228 เธอต้องไป
แต่ฉินซีไม่ได้พูดอะไรออกไป เธอเพียงแค่มองไปที่จ้านเซินอย่างเงียบๆโดยไม่คิดจะพูดอะไรต่ออีก พลางเดินเข้าไปในห้องพักอย่างง่ายดาย
จ้านเซินยืนมองเธออยู่ไม่นานก็หันตัวกลับ เดินออกจากฐานวิจัยใต้ดินนี้ไป
กำหนดการของวันพรุ่งนี้เป็นไปตามที่จ้านเซินกล่าวไว้ว่า เกือบทั้งหมดถูกเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เรียกว่า “การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา” ซึ่งมันก็คือการล้างสมองฉินซี
แต่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ เพราะมีคนมากมายนอกจากพวกเขาในฐานใต้ดินนี้…คือบุคคลที่เพิ่งผ่านการคัดเลือกและต้องการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
คนพวกนี้มีความไว้วางใจและโหยหาองค์กรอย่างไม่อาจจะอธิบายได้ เพราะอย่างนั้นตอนเข้าคลาสเรียนจึงจริงจังเป็นพิเศษ
ซึ่งบรรยากาศนั้นแตกต่างจากคลาสเดี่ยว เพราะคลาสใหญ่เช่นนี้มีพลังในการล้างสมองที่ไม่อาจพรรณนาได้
ดังนั้นต่อให้เป็นฉินซีก็เถอะ เพียงแค่ผ่านไปสองสามวันก็นับว่ายากลำบากอยู่ไม่น้อย
…ความคิดที่เธอมีมาตลอดนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงๆอย่างนั้นเหรอ
เธอเองก็ชักจะสงสัยแล้ว
แต่การแสดงออกของเหยาจ้าวนั้น นับแต่ต้นจนจบกลับไม่มีความผันผวนใดๆเลย เขาหันมองฉินซีด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็หันหน้าไปอย่างกำลังครุ่นคิด
สามวันต่อมา ความมุ่งมั่นของฉินซีก็ใกล้จะทลายลงเต็มที
ในใจของเธอไม่มีความรู้สึกหนักแน่นเหมือนเมื่อก่อน เพราะอย่างนั้นจึงถูกคนอื่นชักจูงได้อย่างง่ายดาย
เธอเพียงแค่อาศัยสัญชาตญาณและความเกลียดชังต่อสู้กับการถูกล้างสมอง
และยิ่งเธอแสดงออกว่าต่อต้าน สิ่งที่ได้กลับมาก็คือการล้างสมองที่ทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ช่วงสุดท้ายของวัน ก็ยิ่งหมดเรี่ยวแรง
เธอเดินกลับไปที่หอพักของตนเอง กลับพบกระดาษโน้ตเล็กๆที่ประตู
ฉินซีตื่นตัวขึ้นมาทันที
เธอทำท่าทีเหมือนกับว่าไม่ตั้งใจมองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครพบกระดาษโน้ตนี้ เธอก็แสร้งเตะโน้ตเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ
แม้แต่ในห้องก็มีระบบควบคุม ดังนั้นฉินซีจึงพยายามอย่างมากในการนำกระดาษเข้าไปในห้องน้ำอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ในห้องน้ำไม่มีระบบควบคุมติดตั้งไว้ฉินซีจึงกล้าที่จะคลี่โน้ตออกได้อย่างสบายใจ
ที่กระดาษโน้ตคือลายมือของเหยาจ้าว
ยิ่งภักดี ก็ยิ่งมีความหวัง
ฉินซีขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมหลังจากที่อ่านจบ
เมื่อมองแวบแรก กระดาษโน้ตแผ่นนี้ดูเหมือนมุมเล็กๆที่ถูกฉีกออกอย่างไม่ได้ตั้งใจจากบันทึกในคลาสเรียน และบังเอิญอยู่ที่นี่
แต่ฉินซีไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้
เธอหยิบโน้ตขึ้นมาอีกครั้ง จู่ๆก็คิดบางอย่างขึ้นได้ คิ้วของเธอค่อยๆคลายออก
ไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ เหยาจ้าวทิ้งไว้โดยไม่รู้ตัว แต่มันคือคำเตือนจากเขาต่างหาก
เช่นเดียวกับครั้งก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อคือสิ่งเดียวกัน
หากฉินซีแสดงออกว่ายอมจำนนต่อองค์กร ก็จะสามารถลดความระแวงในใจของจ้านเซิน จากนั้นถึงจะสามารถหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่ได้
ฉินซีกัดที่ริมฝีปาก เธอกำจัดกระดาษโน้ตนั่นจนเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็นั่งครุ่นคิดอยู่บนชักโครก
เธอไม่สามารถนั่งรอความตายอยู่แบบนี้ได้แน่นอน หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เธอจะสูญเสียหัวใจนักสู้ของตนเองไปจริงๆและมันจะเป็นไปอย่างที่จ้านเซินต้องการ นั่นก็คือกลับคืนสู่องค์กรอีกครั้ง
เธอต้องไป
แต่…ก็เหมือนอย่างที่เหยาจ้าวพูด หากจะไป เธอต้องให้จ้านเซินเห็นความจริงใจของเธอเสียก่อน
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าที่นี่คือใต้ดิน แค่ด้วยทักษะในตอนนี้ของเธอก็ไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีได้ แม้ว่าจะมี แต่อัตราความสำเร็จของเธอ ยังมีชีวิตของเหยาจ้าวอยู่อีกด้วย
และถ้านี่ออกจากที่นี่ได้ แล้วจะหนีออกจากเกาะนี้อย่างไร ถ้าถูกจ้านเซินจับตัวได้บนเกาะ ชะตากรรมที่ต้องเจอจะยิ่งรุนแรงกว่าในตอนนี้
เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่สามารถหนีได้
ฉินซีจำเป็นต้องใช้ทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมในการหลอกลวงทุกคนเมื่อสองปีก่อน แต่เธอยังคงยึดติดกับความคิดของตัวเอง…คือจะไม่ยอมเป็นเครื่องจักรขององค์กร
มันยาก แต่เธอจำเป็นต้องลอง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินซีกำมือแน่น เธอได้ตัดสินใจแล้ว
ในคลาสเรียนวันรุ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของฉินซีได้เปลี่ยนไป
ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือท่าทาง ทั้งหมดดูจะผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่การแสดงออกเช่นนี้ของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพราะสองสามวันก่อนหน้านี้เธอมีแนวโน้มที่ดูจะลังเลอยู่ เพราะอย่างนั้นครูที่รับผิดชอบคลาสเรียนจึงไม่แปลกใจกับการแสดงออกของเธอ
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ฉินซีดูแตกต่างจากตอนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ๆโดยสิ้นเชิง
สีหน้าและแววตาของเธอเผยให้เห็นถึงความเฉยเมยที่คนในองค์กรคุ้นเคย ความเฉยเมยที่ราวกับว่าออกมาจากกระดูก ราวกับทำให้ร่างทั้งร่างของเธอเป็นน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก
เหล่าครูฝึกยินดีกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างมาก จึงแจ้งให้จ้านเซินทราบ
จ้านเซินไม่ได้มาหาฉินซีโดยตรง แต่คอยมองเธออยู่ไกลๆ สีหน้าดูจะพอใจอยู่ไม่น้อย เขาโบกมือให้เหล่าครูฝึกพลางพูดว่าให้รวบรวมผลของหลักสูตร
ฉินซีอยู่ในลักษณะนี้ เธอต้องอยู่ในฐานปฏิบัติการล้างสมองที่ใต้ดินนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน
เมื่อถึงสิ้นเดือน ดูเหมือนว่าเธอและถังย่าจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
เป็นแค่หุ่นยนต์ที่เดินได้อย่างอิสระ
เหล่าครูฝึกเข้าประเมินเธอเป็นครั้งสุดท้ายและยืนยันว่าเธอได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาต้องการเรียบร้อยแล้ว จึงไปคุยกับจ้านเซินว่าเธอสามารถออกจากฐานปฏิบัติการได้แล้ว
ที่นี่เป็นที่เอาไว้ฝึกคนที่มาใหม่ มีหลายหลักสูตรที่ฉินซีไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม ดังนั้นการให้เธอกลับไปที่สำนักงานใหญ่ จึงเป็นการดีที่เธอจะได้แสดงศักยภาพในบทบาทของเธอได้อย่างเต็มที่
หลังจากได้รับรายงานจากเหล่าครูฝึก จ้านเซินก็มาที่ฐานปฏิบัติการด้วยตัวเอง
เขาไม่ได้มาพบฉินซีโดยตรง แต่กลับมาหาเหยาจ้าว
ดังนั้นหลังจากที่ฉินซีเลิกคลาสในวันนี้ จู่ๆ เหยาจ้าวก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ
“ฉินซี” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ สายตามองไปรอบๆราวกับกลัวว่าจะถูกเจอเข้า “เธออยากหนีไหม”
ทักษะการแสดงของเหยาจ้าวเป็นธรรมชาติมาก จนทำให้ใจของฉินซี ที่เตรียมพร้อมมาแล้วอย่างดีถึงกับสั่นคลอน
…หรือว่าเหยาจ้าวจะมีวิธีหนีไปจากที่นี่แล้วจริงๆ
ฉินซีหรี่ตา มองสำรวจเหยาจ้าวตั้งแต่หัวจรดเท้า
การแสดงออกของเขาไม่มีพิรุธอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าฉินซีก็ยังคงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
เขาคอยบอกตัวเธอเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องการให้เธอแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง ใช้วิธีการได้รับความไว้วางใจในการหนีออกไป ตอนนี้จู่ๆกลับมาบอกว่าตัวเองสามารถหนีไปได้ จุดนี้มันขัดแย้งกันเกินไป
ความระมัดระวังค่อยๆเกิดขึ้นในใจของฉินซี
เธอไม่ได้ตอบคำถามของเหยาจ้าว อีกทั้งยังถามกลับด้วยสายตาเย็นชา “คุณคิดจะหนีไปยังไง”
สีหน้าของเหยาจ้าวยังคงเหมือนเดิม ความเร็วในการพูดของเขาเร็วขึ้น “ฐานปฏิบัติการนี้มีเสบียงอาหารมาสัปดาห์ละครั้ง เมื่อถึงเวลาเราจะแฝงตัวไปในทีมจัดหา แบบนี้ก็สามารถหนีไปจากที่นี่ได้แล้ว”
แผนนี้ดูท่าจะเป็นไปได้ แต่ฉินซีตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อความรู้สึกแรกของตนเอง… เหยาจ้าวผิดปกติ
ทำไมจู่ๆเขาถึงมาคุยเรื่องนี้กับเธอ
ทำไมจู่ๆถึงพูดเรื่องที่จะหนีไปกับเธอ
ฉินซีขมวดคิ้วด้วยความสับสน ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ…หรือว่า เขาถูกบังคับให้มาทดสอบเรา?
ถ้าเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างก็จะดูสมเหตุสมผล
อย่างนั้นฉินซีก็ไม่ได้ถูกหลอก
ดังนั้นเธอจึงรอให้พูดจบด้วยสายตาที่เย็นชา ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปและเดินไปทางกล้องวงจรปิดบนกำแพง