บทที่ 1229 เธอกำลังวางเดิมพัน
ดูเหมือนว่าเหยาจ้าวจะแปลกใจเล็กน้อยกับการกระทำของเธอ แต่ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย
ฉินซียืนอยู่ด้านหน้ากล้องวงจรปิด เธอชี้ไปที่เหยาจ้าวพลางตะโกนลั่น “เขาจะหนี!”
เธอรู้ว่ากล้องวงจรปิดทั้งหมดในฐานปฏิบัติการนั้นกำลังถูกเฝ้าดูแบบเรียลไทม์ ตัวเองตะโกนลั่นแบบนี้ คาดว่าเดี๋ยวก็คงมีคนสังเกตเห็นในไม่ช้า
ฉินซีกัดริมฝีปากของเธอ
และเธอกำลังวางเดิมพัน
หากเหยาจ้าวต้องการจะไปจริงๆ เขายังใจดีพอที่จะยื่นมือมาให้กับเธอ แต่ตัวเองกลับหักหลังเขา…
แต่เธอเอี้ยวตัวหันกลับมากลับพบว่าเหยาจ้าวยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะหนีแล้ว สีหน้ายังคงเรียบเฉย ดูเหมือนว่าในแววตาจะเผยให้เห็น…ความชื่นชมอยู่ลึกๆ
ในใจของฉินซีสงบลงทันที
…เป็นไปอย่างที่คิด นี่คือการทดสอบตัวเธอเอง
แต่ก่อนที่เธอจะละสายตา ก็เห็นร่างหนึ่งเดินออกมาจากมุมห้องอย่างช้าๆ
…คือจ้านเซินที่ไม่ได้พบกันนาน
สีหน้าของจ้านเซินเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจ เขาเดินมายังด้านข้างของฉินซี มองสำรวจตั้งแต่บนลงล่าง จู่ๆก็เอื้อมมือมาลูบที่บ่าของเธอพลางพูดขึ้น “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องกลับมา”
ฉินซีพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้สีหน้าของตัวเองดูแปลกไป แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มไปเท่านั้น
แต่อาจเพราะจ้านเซินกำลังอารมณ์ดีอยู่ จึงไม่ทันสังเกตเรื่องนี้ เขาหันไปพูดกับเหยาจ้าว “ดูเหมือนว่าหลักสูตรที่นี่ของคุณหมอเหยาและฉันซีจะจบลงแล้วล่ะ”
ในใจของฉินซีกำลังมีความสุข เธอพยายามลอบมองเหยาจ้าวโดยไม่ให้ใครรู้
สีหน้าของเหยาจ้าวไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าทำไมฉินซีกลับเห็นว่าเขาดูจะมีความสุขอยู่ลึกๆ
พวกเขาถูกปิดตาเหมือนตอนที่มาที่นี่ ใช้เวลาเดินทางนานกว่าจะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง
ไม่พบร่องรอยของเหยาจ้าว ส่วนฉินซีก็มาถึงด้านหน้าหอพักของตัวเอง
เธอมองไปรอบๆหอพักของตัวเอง พลางคิดในใจ นี่อาจจะเป็นหนึ่งในวิธีของจ้านเซิน เพราะเมื่อได้เจอหอพักใต้ดินของฐานปฏิบัติการที่ไม่มีอะไรเลย และได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง แม้จะเป็นเธอก็ตาม ยังรู้สึกได้จากก้นบึ้งของหัวใจว่าหอพักนี้มันดีจริงๆ
แต่ก่อนที่เธอจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ จู่ๆเสียงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ
“ทำไมมัวแต่ดูเฉยๆไม่เข้าไปล่ะ”
ท่าทีของฉินซีหยุดชะงักก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่พูด
จ้านเซินค่อยๆเดินตรงมา
ฉินซีปรับสีหน้าทันที เพื่อให้ตัวเองดูมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น “แค่แวบแรกที่เห็นห้องตัวเอง รู้สึกว่ามันไม่เหมาะก็เท่านั้น”
เป็นเวลานานแล้วที่เธอพูดกับจ้านเซินด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นนี้ ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงดูสบายๆ
เขาเดินไปที่ข้างกายของฉินซีและมองลงมาที่เธอ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง“ในที่สุดเธอก็กลับมา”
ฉินซียิ้ม ตอบกลับเสียงเรียบ “ใช่แล้ว ในที่สุดที่ฉันก็กลับมา”
การที่เธอหลอกจ้านเซินไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้าม เธอรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องโกหกจ้านเซิน
แต่เธอก็รู้เช่นเดียวกัน ว่าตัวเองระวังให้มากกว่านี้ถึงจะไม่เผยพิรุธอะไรออกมา
การออกจากฐานปฏิบัติการได้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เพราะสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องทำก็คือการไปจากที่นี่
จ้านเซินยังมีธุระต่อ เขาเข้ามาคุยกับฉินซีสองสามประโยคแล้วค่อยไป จากนั้นเธอเข้ามาที่ห้องของตัวเอง ทิ้งตัวลงบนโซฟา ค่อยๆหลับตาลง หลังจากต้องอยู่กับความตึงเครียดในฐานปฏิบัติการมาตลอดหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายเสียที
เธอเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าจ้านเซินได้ตัดสินใจแล้วว่าถ้าหากฐานปฏิบัติการไม่สามารถเปลี่ยนเธอได้ เขาจะใช้ไฟฟ้าช็อตในการบำบัดเธอ เพื่อทำให้เธออ่อนแอและเกลียดชีวิตโลกภายนอกของตัวเองหรือความรู้สึกที่มีต่อลู่เซิ่น
โชคดีที่คำเตือนของ เหยาจ้าวทำให้เธอไม่สามารถไปจากที่นั่นได้
แต่ชีวิตแบบนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว
ตลอดหนึ่งเดือน แม้แต่การนอนหลับเธอยังอกสั่นขวัญแขวน เพราะที่ห้องนอนยังติดตั้งกล้องวงจรปิด เธอกลัวว่าหลังจากที่เธอหลับแล้วจะฝัน หากพูดความฝันที่ไม่ควรพูดออกมา ความพยายามก่อนหน้านี้ที่ทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะนอนหลับอย่างผ่อนคลาย ทุกคืนเธอทำได้แค่พักสายตาเพียงชั่วครู่เท่านั้น
ตอนนี้ได้กลับมายังห้องที่ไม่มีระบบควบคุมแล้ว ความเหนื่อยล้าจึงเข้าห่อหุ้มเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นับจากวันที่ออกจากรีสอร์ทชิงหยวน เธออยู่บนเกาะที่โดดเดี่ยวแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว
จ้านเซินไม่อนุญาตให้เธอติดต่อกับโลกภายนอก เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าที่โลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ลู่เซิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เขาสบายดีไหม
เขาจะกระวนกระวายที่หาตัวเธอไม่เจอบ้างหรือเปล่า หรือว่าจะลืมเรื่องการหายตัวไปของเธอและโฟกัสไปที่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคู่หมั้นที่กำลังจะมาถึงหรือเปล่านะ
คิ้วของฉินซีค่อยๆขมวดขึ้นเป็นปม ที่ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หลักสูตรที่ฐานใต้ดินล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในเวลานี้
ในห้องที่ไม่มีบุคคลที่สองนี้ ในที่สุดฉินซีก็ได้เป็นตัวเอง เธอไม่สามารถห้ามตัวเองได้ นึกถึงความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับให้ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน
หลักสูตรไร้สาระพวกนั้นจะทำให้ลืมความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างไร
ความรู้สึกที่มีต่อเหยาหมิ่นเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ความรู้สึกที่มีให้แก่ลู่เซ่น…ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ฉินซีเกิดความเชื่อที่แน่วแน่ในหัวใจ
เธอต้องออกไปจากที่นี่
ไม่ใช่เพื่อที่จะได้อยู่กับลู่เซิ่นอีกครั้ง อย่างน้อยก็ขอให้ได้ถามให้เข้าใจ ในสิ่งที่เธอไม่ได้ถามให้ชัดเจนในวันที่เธอจากไป
จากนั้นก็ยุติความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลู่เซิ่น
มันอาจจะจบลงเช่นนี้ เธอเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่อย่างน้อย…การบอกลาที่แท้จริง จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์นี้กลายเป็นปมในใจเธอและไม่มีวันลบเลือนไปตลอดกาล
แต่โชคยังดี…ที่จ้านเซินเต็มใจที่จะปล่อยให้เธอออกมาจากฐานปฏิบัติการใต้ดิน เพราะอย่างน้อยมันก็อธิบายได้ว่า เขามีความเชื่อใจในตัวเธอ
จากนี้ไป ตัวเองจะหยั่งเชิงตามอำเภอใจไม่ได้อีกแล้ว ต้องคอยระมัดระวังทุกอย่างก้าวและต้องไม่ทำลายความพยายามตลอดหนึ่งเดือน
เธอนึกถึงคำพูดในโน้ตของ เหยาจ้าวได้อีกครั้ง
ยิ่งภักดี ก็ยิ่งมีความหวัง
ฉินซีเม้มริมฝีปาก ในใจได้ตัดสินใจแล้ว
……
หลังจากที่เธอกลับมาที่สำนักงานใหญ่ หลักสูตรก็กลับมาดำเนินเหมือนก่อนหน้านี้
คลาสสมรรถภาพทางกายและคลาสทักษะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกครั้ง แม้ว่าหลักสูตรที่ใช้ในการล้างสมองจะลดลงไปมาก แต่ก็ยังไม่หายไปทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินซีจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่เธอเข้าร่วมองค์กรแรกๆ หลังจากที่ “คลาสจิตวิทยา”เสร็จสิ้นแล้ว จึงจะเริ่มเข้าถึงงานที่ใช้สติปัญญา
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตราบใดที่ตัวเองยังคงอยู่ในหลักสูตรนี้ นั่นก็หมายความว่าจ้านเซินยังไม่เชื่อใจตัวเองอย่างสมบูรณ์
แต่…เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนไปไม่ได้
เธอทำได้แค่อดทน ค่อยโน้มน้าวให้จ้านเซินเชื่อใจ ฉันจะไม่สองจิตสองใจอีกต่อไปและเป็นคนขององค์กรโดยสมบูรณ์
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับจ้านเซิน
ดังนั้น นอกจากหลักสูตรประจำวันของฉินซีแล้ว “การทดสอบ”บ้างเป็นครั้งคราว ก็ยังจำเป็นอยู่
คล้ายกับครั้งนั้นที่จู่ๆเหยาจ้าวก็เสนอวิธีหนีขึ้นมา บางครั้งฉินซีก็บังเอิญได้ยิ้มคำว่าหนีโดยที่ “ไม่ได้ตั้งใจ”
แต่เธอจำคำพูดนั้นของเหยาจ้าวเสมอ เพราะอย่างนั้นคิ้วของเธอจึงไม่ขยับและเลือกที่จะรายงานกับคนพวกนั้น