บทที่ 1237 บุคคลเพียงคนเดียว
เรื่องทั้งหมดนี้ ลู่เซิ่นคิดเพียงคนเดียวในใจ
เขาหันหน้าไป และได้สบตากับลู่เจิ้นพอดี และเขาก็เห็นความกังวลในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
เขาเชื่อใจลู่เจิ้นอย่างแน่นอน แต่ด้วยกฎของการรักษาความลับ….ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ท้ายที่สุด แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ จะทำไปเพื่อหลอกให้ฉินซีกลับมา แต่มันก็จุดประสงค์อื่นด้วย
ดังนั้นลู่เจิ้นไม่รู้ จะเป็นการปลอดภัยกว่า
ลู่เซิ่นตบบ่าลู่เจิ้นแล้วกระซิบเบาๆว่า “จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น นายจะได้รู้ในวันแต่งงานของฉัน”
เมื่อลู่เจิ้นได้ยินดังนั้น เขาก็ก้มหน้าลง
เขารู้ว่าลู่เซิ่นไม่ต้องการพูดเรื่องนี้
เขาเชื่อลู่เซิ่น สิ่งที่เขาไม่ได้พูดนั้นมักเป็นผลดีต่อตนเอง
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก
“… พี่” ลู่เจิ้นคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “ถ้าพี่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันก็โทรมา”
ลู่เซิ่นยิ้มเบา ๆ “แน่นอน”
ลู่เจิ้นพยักหน้า และหันหลังเดินออกจากห้องทำงาน
…
วันนี้ห้องทำงานของลู่เซิ่นครึกครื้นมาก
เนื่องจากมีผู้เข้ามาไม่ขาดสาย มีพันธมิตรทางธุรกิจที่มาร่วมแสดงความยินดี และมีผู้คนที่มาสอบถามเกี่ยวกับเจ้าสาว และยังมีผู้ใต้บังคับบัญชา
ลู่เซิ่นไม่ได้ต้อนรับทุกคน ส่วนใหญ่เขาจะทิ้งหน้าที่ไว้ให้กับเลขา แต่สองคนที่มาหาเขาตอนใกล้จะหมดวัน เป็นคนที่เขาต้านทานไม่ได้จริงๆ
เพราะคนที่มาคือสูหยิง และลู่เหวย
การแสดงออกของลู่เหวยนั้นดูน่าเกลียดกว่าสูหยิง ทั้งสองคนมาที่ห้องทำงานของลู่เซิ่น โดยไม่ได้กล่าวทักทายล่วงหน้า
ลู่เซิ่นเพิ่งเสร็จจากการประชุมด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า แต่เขาก็ยังเชิญคนสองคนเข้าไปในห้องทำงาน
“ลูก นี่จดทะเบียนสมรสแล้วจริงๆหรอ” สูหยิงอดใจรอไม่ไหวที่จะถามทันทีที่ประตูห้องทำงานปิดลง
ลู่เซิ่นไม่ได้พูด แต่พยักหน้าอย่างเงียบๆ
… เขาไม่นับว่าตัวเองหลอกเธอ ดังนั้นลู่เซิ่นจึงไม่รู้สึกผิดในใจ
คำตำหนิปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสูหยิง “ลูกนี่มันจริงๆเลย….คุยกันแล้วไม่ใช่หรอ บอกว่าให้ใช้วิธีนี้ทำให้คนสองใจในบริษัทออกไป แล้วทำไมถึงไปจดทะเบียนจริงๆได้”
ลู่เซิ่นยิ้มเบาๆ “พวกเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถ้าผมไม่ทำจริงจังหน่อย พวกเขาจะเชื่อได้ยังไง”
สูหยิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกลู่เหวยเอื้อมมือออกไปหยุดไว้
“ลู่เซิ่นมาคุยกันสองคนหน่อย”
ใบหน้าของลู่เหวยดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนแม้แต่สูหยิงก็ไม่กล้าขัด
ลู่เซิ่นสามารถตอบรับได้อย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งสองลุกขึ้น และเดินเข้าไปในห้องรับรองเล็กๆ ที่ติดกับห้องทำงานของลู่เซิ่น สายตาของสูหยิงถูกปิดกั้นลงเมื่อประตูปิดลง
ลู่เหวยไม่ได้รีบร้อนเหมือนสูหยิง เขานั่งลงบนโซฟาตัวเล็กด้วยตัวเอง และรอให้ลู่เซิ่นนั่งลง ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ลู่เซิ่นทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร บอกฉันมาตรงๆ”
ลู่เซิ่นหยุดชั่วขณะ ในขณะที่เขาจะเอาท่าทางยิ้มๆเดียวกับที่ใช้กับลู่เจิ้น มาใช้กับลู่เหวย ก็มีเสียงเคร่งขรึมดังขึ้นมาย้ำอีกครั้ง“พูดความจริง”
ลู่เซิ่นยิ้มอยู่เต็มหน้า และพูดออกไป
“พ่อ” เสียงของลู่เซิ่นขมขื่นเล็กน้อย “ผมไม่มีทางอื่นแล้ว”
ในที่สุด เขาก็มีช่องระบายความเจ็บปวดในใจออกมา
เขาไม่สามารถบอกหลินยี่ เกี่ยวกับความเจ็บปวดของเขาหลังจากที่ฉินซีจากไปได้ เพราะเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของเขา และลู่เซิ่นก็ไม่ได้พูดออกมา
ขนาดเพื่อนรักกันยังไม่สามารถบอกได้ แล้วยิ่งกับลู่โยวโยวยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย
เขาไม่มีแม้แต่คนที่จะคุยด้วย
และลู่เหวยที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียว
ลู่เหวยรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาและฉินซียังคงมีความสัมพันธ์กัน หลังจากที่สูหยิงขอให้ทั้งคู่หย่ากัน
ดังนั้นในที่สุดลู่เซิ่นก็สามารถบอกความเจ็บปวดที่เขาสะสมมาเป็นเวลานานได้
“ผมไปเมืองหนาน ต้องการรอให้คดีของเวินจิ้งจบลงก่อน และตั้งใจจะพาเธอกลับไปรวมตัวกับหลินยี่ แต่ทันทีที่ผมออกจากศาล ผมก็ได้ข่าวว่าฉินซีหายตัวไป” เสียงของลู่เซิ่นแห้งผากเล็กน้อย
การแสดงออกของลู่เหวยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “อะไรนะ ฉินซีหายไป”
ลู่เซิ่นค่อยๆพยักหน้าช้าๆ “ผมกลับมา และพยายามหาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆเลย ดูเหมือนเธอจะหายไปจากโลกใบนี้ จนกระทั่งมีคนจากองค์กรที่เรียกว่าเฟิงติดต่อมา และบอกว่าฉินซีอยู่กับพวกเขา”
ใบหน้าของลู่เหวยนั้นมืดมน และน่ากลัวขึ้นมา ตั้งแต่ลู่เซิ่นจำความได้ เขาไม่เคยเห็นลู่เหวยทำหน้าแบบนี้มาก่อน
“ฉินซีอยู่ในมือของ … องค์กร” ลู่เหวยพูดซ้ำช้าๆ ทันใดนั้นก็ราวกับคิดบางอย่างได้ เขาจึงหันไปมองลู่เซิ่น “ดังนั้นเมื่อหลายวันก่อน ที่แกตามหาองค์กรนั้นอย่างหนักก็เพราะว่า….”
ลู่เซิ่นพยักหน้า “ผมไม่ต้องการหาองค์กรนั้นเพื่อเอาคืน จริงๆแล้วผมตามหาฉินซีอยู่”
คิ้วของลู่เหวยขมวดเข้าหากันทันที “ฉินซีจะเกี่ยวข้องกับองค์กรแบบนั้นได้ยังไง”
ลู่เซิ่นเม้มริมฝีปาก และตัดสินใจบอกความจริง “เพราะ … ฉินซีดูเหมือนจะเป็นสมาชิกขององค์กรของพวกเขามาก่อน”
“อะไรนะ” ลู่เหวยเสียอาการเล็กน้อย แต่ในตอนนี้เขาแทบไม่ได้ควบคุมระดับเสียงของตัวเองมาหลายครั้งแล้ว เขาหันหน้าไปมองลูกชายของเขาเขม็ง “ฉินซีเป็นสมาชิกขององค์กรแบบนั้นหรอ”
เขาดูแลตระกูลลู่มาหลายปีแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักองค์กรเหล่านั้นมากนัก แต่เขาก็ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย
ดังนั้นในความคิดของเขา ฉินซีมีความสัมพันธ์กับองค์กรจึงน่าแปลกใจยิ่งนัก
ลู่เซิ่นเจอสายตาของเขา ก็พยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ตามที่อีกฝ่ายบอก เขาว่าอย่างนี้”
“แล้วฉินซีตอนนี้ล่ะ!” น้ำเสียงของลู่เหวยกลายเป็นกังวลเล็กน้อย “ยังไงเธอก็เป็นสมาชิกขององค์กร องค์กรจะไม่ควรโหดร้ายกับเธอใช่ไหม”
ลู่เซิ่นไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขาหยุดชั่วขณะ ก่อนที่จะหลุบตาลง “ที่จริง…ผมก็ไม่รู้”
เขาไม่ค่อยแสดงความอ่อนแอ และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะแสดงด้านที่เปราะบางต่อหน้าผู้อื่น
ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเขาที่รู้ทุกอย่าง เขาคงไม่สามารถพูดได้ว่าเขา “ไม่รู้”
ลู่เหวยอึ้ง
เขารู้ว่าองค์กรประเภทนั้นส่วนใหญ่มีแบ็คที่แข็งแกร่งง แต่เขาคิดไม่ถึงว่า แม้ลู่เซิ่นจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหามัน เขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินซีนั้นสบายดีหรือไม่
เขาถอนหายใจเบาๆ และยื่นมือออกไปตบบ่าลู่เซิ่นปลอบๆ
เมื่อได้รับความอบอุ่นผ่านฝ่ามือของลู่เหวย หัวใจที่เจ็บปวดของลู่เซิ่นก็เป็นแผลขึ้นมาอีกครั้ง เขากระแอมในลำคอ และแทบจะไม่สามารถรักษาความสงบของเสียงได้ “อันที่จริง….จากหลักฐานที่ผมพบ ฉินซีเหมือนจะวางแผนจากผมไปอยู่แล้ว แต่เพราะว่าองค์กรนั้นได้โอกาสพอดีมากกว่า”
ลู่เหวยมองลงไปที่ลูกชายของเขา
เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาหลายปีแล้ว จนบางครั้งลู่เหวยยังรู้สึกว่า พ่ออย่างเขาควรปลดเกษียณได้แล้ว