บทที่ 1255 ถอนตัวไม่ทัน
“ชนะแล้ว!” สุดท้ายแล้วสภาพอารมณ์ของหลินหยังก็ยังไม่มั่นคงเฉื่อยชาเท่ากับลู่เซิ่นขนาดนั้น ตอนที่เห็นผลลัพธ์ จึงอดไม่ได้ที่จะเผยความปีติยินดีออกมา
ผลลัพธ์แบบนี้อยู่ภายใต้การคาดเดาของลู่เซิ่นแต่เนิ่นๆแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงคลื่นความรู้สึกอะไรออกมามากนัก เพียงแค่พยักหน้าเรียบๆ เอ่ยถามว่า “ซื้อเข้ามาทั้งหมดเท่าไร”
หลินหยังก้มหน้าอ่านข้อมูลที่นักเก็งกำไรทางฝ่ายนั้นส่งมา พลางรายงานว่า “วันนี้ช่วงเช้ารวมกับตอนนี้ ทั้งหมด 8% ครับ”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว “แค่แปดเองหรือ ฉันนึกว่า 10% เสียอีก อาสามของฉันคนนี้…….ขี้เหนียวกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก”
หลินหยังยิ้ม “บวกกับ 8% นี้ สัดส่วนหุ้นที่คุณถือก็ยากที่จะก้าวข้ามไปได้แล้วครับ”
รอยยิ้มของลู่เซิ่นกลับเพิ่มความเหี้ยมโหดอยู่หลายส่วน
“ใครบอกว่า…….มีเพียงแค่ 8% นี้กัน”
หลินหยังชะงัก เงยหน้ามองลู่เซิ่น “อย่างนั้นคุณ…….”
น้ำเสียงของลู่เซิ่นไม่ใส่ใจอยู่หลายส่วน “รออีกครู่หนึ่ง นายก็จะรู้แล้ว”
หลินหยังมีความสงสัยอยู่เต็มท้อง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยับยั้งมันลงไป แล้วพยักหน้า
แต่ว่า เขาไม่ต้องรอนาน
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ประตูห้องทำงานของลู่เซิ่นก็ถูกเคาะด้วยความโมโห
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว ส่งสัญญาณให้หลินหยัง
หลินหยังเดินไปเปิดประตูตามคำสั่ง
ประตูเพิ่งจะถูกบิดให้เปิดออก ก็ถูกผลักให้เปิดออกด้วยแรงโทสะจากด้านนอก จนเกือบจะผลักหลินหยังให้ล้มลง
ลู่เซิ่นเงยหน้า ประจวบเหมาะกับที่อาสามที่เต็มไปด้วยโทสะพาอารองที่ก้มหน้าตัวสั่นบุกเข้ามาด้วยกัน
“ลู่เซิ่น!” อาสามหน้าแดงก่ำ ตะโกนใส่ลู่เซิ่นอย่างไม่สนใจอะไร “แกกล้าดีอย่างไร! กล้าทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้อย่างไร”
ลู่เซิ่นกลับยิ้มสุภาพ “อาสาม อากำลังพูดอะไรน่ะครับ ผมฟังแล้วไม่เข้าใจเลย”
อาสามหัวเราะเสียงเย็น “หลานชายแสนดีของฉัน แกอย่าพูดนะว่า หุ้นของบริษัทลู่ซื่อในวันนี้ไม่ใช่แกที่วางกลอุบาย”
“อ่อ” ลู่เซิ่นเอียงคอ เหลือบตาขึ้นมองเขา “อาสามพูดแบบนี้ บริษัทลู่ซื่อเป็นถึงบริษัทของผม เห็นว่ามีคนคิดร้ายจะทำกำไรจากหุ้นที่ราคาตก การที่ผมปกป้องราคาหุ้นของบริษัท มันมีปัญหาอะไรหรือครับ”
อาสามถูกโต้กลับ ก็ไม่รู้จะตอบอะไรไปชั่วคราว
แววตาของลู่เซิ่นมีประกายความเหี้ยมโหดพาดผ่าน ทว่าน้ำเสียงกลับยังคงไม่ใส่ใจ “อาสาม คุณก็เป็นพนักงานของบริษัทลู่ซื่อคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ไม่ควรจะเป็นกังวลในเรื่องการผันผวนอย่างผิดปกติของหุ้นบริษัทลู่ซื่อเหมือนกับผมหรือ ทำไมถึงได้พลิกกลับมาตำหนิผมเสียอย่างนี้ล่ะ”
อาสามอ้าปาก แต่น้ำท่วมปากพูดไม่ออก
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่เซิ่นเลือนหายไปอย่างช้าๆ นั่งตัวตรง แววตาคมปลาบยิ่งกว่าเดิม “หรือจะบอกว่า……อาสามรู้ว่า คนหลายฝ่ายที่จงใจขายหุ้นบริษัทลู่ซื่อในราคาต่ำพวกนั้นเป็นใคร”
อาสามชะงักไปครู่หนึ่ง แผ่นหลังชื้นเหงื่อเย็นในเสี้ยววินาที
เมื่อครู่ที่เขามีโทสะ สมองจึงไม่แจ่มใสเท่าไร
ถ้าหากบอกว่าตอนเช้า การแสดงออกของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขารู้สึกว่ามีความคิดที่ว่าทำผิดพลาดแล้วจะไม่ถูกจับได้อยู่บ้าง แต่การเปิดตลาดในช่วงบ่าย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร
ความเผด็จการแบบนี้ วิธีการที่ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ไม่สามารถเป็นคนอื่นไปได้ เป็นเพียงแค่วิธีการของลู่เซิ่นเท่านั้น
เพียงแต่แม้ว่าตอนนี้จะมั่นใจในฐานะของฝ่ายตรงข้ามแล้ว เขาก็ถอนตัวไม่ทันแล้วเช่นกัน
เขาโยนเงินทุนและเงินกู้ทั้งหมดของตัวเองลงไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะถอนตัวได้แล้ว
ถ้าหากว่าตัวเองแพ้กระดานหนึ่ง เขาไม่ได้เพียงแค่สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีเงินติดตัวสักบาท กระทั่งยังต้องเป็นหนี้ล้นตัวด้วย
ดังนั้นเขาจึงต้องกัดฟันทำต่อไป
สิ่งน้อยนิดเพียงอย่างเดียวที่เขาใช้ปลอบประโลมตัวเองก็คือ ตอนนี้ลู่เซิ่นยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ของเขา ดังนั้นเงินทุนที่อยู่ในมือของเขา และตัวเองนั้นไม่ได้มีความแตกต่างมากมายนัก
แต่คาดไม่ถึงเลยว่า……..
กำลังเงินของลู่เซิ่นกลับดีกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากเกินไป
เขาทำได้เพียงแค่มองตัวเองกระสุนหมด เสบียงเกลี้ยงอย่างนั้น คิดถึงหนี้จำนวนมหาศาลที่ตัวเองแบกเอาไว้บนหลังแล้ว จึงมีโทสะพวยพุ่ง และมาโวยวายถึงบริษัทลู่ซื่ออย่างไม่สนใจอะไร
แม้ว่าลู่เซิ่นจะไม่สามารถจับจุดอ่อนของตัวเองเอาไว้ได้ แต่ตัวเองก็ยังประเคนตัวมาให้อีกฝ่ายอย่างโง่เง่า มีความหมายเหมือนกับโยนตัวเองเข้าไปในแหอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลู่เซิ่นไม่รอเวลาให้อาสามทำความเข้าใจ เขาโน้มตัวไปด้านหน้า เผยท่าทางก้าวร้าวออกมาเล็กน้อย
เขากลับไม่ได้พูดกับอาสามต่อ แต่หันหน้าไป ตะโกนขึ้นมากะทันหันว่า “อารอง อาร้อนมากหรือ ทำไมถึงเหงื่อออกตลอดเลย”
อารองคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกขานชื่อกะทันหัน ร่างกายจึงสั่นระริกเล็กน้อย ใบหน้าไร้สี หันไปทางลู่เซิ่น พลางยิ้มให้อย่างอ่อนแอ “ไม่ ระหว่างทางรีบมา อาเลยเหนื่อยเล็กน้อย……”
“อ่อ” ลู่เซิ่นแสร้งพยักหน้า “ผมยังคิดว่าอาทำเรื่องไม่ดีอะไรเสียอีก ดูแล้วถึงได้สั่นระริกแบบนี้”
ความรู้สึกบนใบหน้าของอารองแข็งทื่อในทันที รอยยิ้มแข็งค้าง “หลาน……หลานล้อเล่นอะไรน่ะ…….”
ลู่เซิ่นยิ้มเรียบๆ ไม่พูดอะไรต่อ
แต่บทสนทนาระหว่างพวกเขากลับลอยเข้าหูของอาสาม
ความคิดของอาสามฉับไว ระลึกความทรงจำภายในไม่กี่วินาทีว่า เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้พี่รองมีความเคลื่อนไหวต่างๆ
อาการร้อนตัวอย่างผิดปกติ การหลบสายตา บวกกับคำพูดเมื่อครู่นี้ของลู่เซิ่น………
ตอนเช้าเขายังสงสัยว่า ลู่เซิ่นรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าตัวเองจะทำอะไร
ถ้าหากว่าอารองหักหลังตัวเองล่ะก็……ทั้งหมดนี้ก็ได้รับการอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้ว
อาสามหันหน้าไปมองอารองอย่างเร็ว “เป็นนายหรือ” สองคำนั้นเล็ดลอดออกมาจากไรฟันอย่างดุร้าย
อารองถอยหลบไปด้านหลัง ส่ายหน้าอย่างแรง “อะไรน่ะ…….นายกำลังพูดอะไร……”
อาสามถลึงตามองเขาอย่างดุร้าย “นาย! นายมันคนทรยศ! ล้วนเป็นเพราะนาย……ล้วนเป็นเพราะนายที่ทำให้เรื่องพัง! ทำไมฉันถึงได้ลากคนที่ไม่เอาอ่าวแบบนายเข้ามากันนะ!”
เขาพูดไป พลางเดินเข้าประชิดอารอง หมัดก็ยกขึ้นมา
อารองถอยร่างหลบไปด้านหลัง คิดจะหลบหนีจากกำปั้นของเขา
แต่กำปั้นของอาสามกลับไม่ได้พุ่งเข้ามา
อารองหันหน้าไปมอง ก็พบว่า ไม่รู้เมื่อไรที่ลู่เซิ่นเดินออกมาจากหลังโต๊ะทำงาน
มือข้างหนึ่งคว้ากำปั้นของอาสามเอาไว้ พลางส่ายหน้าให้กับอาสาม “อาสาม อย่าชกต่อยกันในห้องทำงานของผมจะดีกว่า”
อาสามคิดจะสลัดกำปั้นของเขาให้หลุด แต่พละกำลังของลู่เซิ่นเยอะมาก เขาจึงยังสลัดไม่หลุดไปครู่หนึ่ง
“ปล่อย!” สุดท้ายแล้วอาสามก็เอ่ยปาก “ฉันไม่ต่อยแล้ว!”
ลู่เซิ่นถึงค่อยๆผ่อนแรงลง
อาสามดึงมือตัวเองกลับไปอย่างแรง จัดแต่งเสื้อผ้าของตัวเอง มองอารองตาขวางอย่างเย็นชา แล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ดูท่าแกจะรู้นานแล้วสินะ” อาสามหมุนตัวหันหลังให้กับลู่เซิ่น เอ่ยต่อว่า “ช่วงเช้าและช่วงบ่าย แกล้วนเจตนาหยอกฉันเล่นหรือ”
ได้ยินน้ำเสียงของเขาแล้ว น่าจะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดในการเผยข้อมูลออกมาให้กับอารอง
นี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการโทษอารองผิดๆ ดังนั้นลู่เซิ่นก็ขี้เกียจจะช่วยเขาอธิบาย
เขาเพียงแค่หัวเราะเสียงเบา “อารอง นี่คุณยอมรับแล้วว่า เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคุณที่ทำ”
อาสามหันหน้ากลับไปชำเลืองมองเขา “ฉันไม่รับผิดชอบแล้วยังมีประโยชน์อะไรด้วยหรือ เบื้องหลังถูกคนเผยออกไปแล้วไม่ใช่หรือ”
อารองเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง ก็รีบพูดว่า “ฉันไม่ได้……”
“หุบปาก!” อาสามเอ่ยพูดหยุดเขาอย่างหงุดหงิดใจ