บทที่ 1257 ไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้
“อารอง” ลู่เซิ่นหันไปเรียกเขา “อาไปกับทนาย รายละเอียดข้อตกลงส่วนใหญ่ เขาล้วนทราบ มีเงื่อนไขอะไร อาบอกเขาได้เลย”
ใบหน้าอารองเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ เดินตามทนายความออกไปด้วยความสำนึกในบุญคุณ
หลินหยังนั้นรอบคอบ จึงไม่ได้อยู่ในห้องทำงาน แต่ตามออกไป ทั้งยังปิดประตูให้ด้วย
ชั่วครู่เดียว ภายในห้องทำงานก็เหลือเพียงแค่อาสามและลู่เซิ่นเพียงแค่สองคน
“เขาเสนอราคาอะไรออกมา แกล้วนต้องการหรือ” อาสามหรี่ตา
ลู่เซิ่นยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเขา กลับถามคำถามแทน “อาถามแบบนี้ คือคิดจะขายให้ผมหรือครับ”
หมัดที่กำแน่นของอาสามคลายออก เขายืนอยู่ที่เดิมหลายวินาที ถึงได้เอ่ยปากพูดว่า “ฉันสามารถขายให้แกได้ แต่นอกจากราคาแล้ว ฉันยังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง……ลูกชายของฉัน จำเป็นจะต้องมีตำแหน่งสำรองหนึ่งในบริษัทลู่ซื่อ”
ลู่เซิ่นฟังคำพูดของเขาจบแล้วก็หัวเราะออกมา “อาสาม ผมเห็นว่าอาเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่เข้าใจอีก ขอเพียงแค่ผมมีเงิน ผมก็สามารถซื้อหุ้นได้ อาไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของผม แต่หุ้นจำนวนมากขนาดนี้ในมือของอา คิดจะขายออกไปทันทีนั้น ผมกลับเป็นเพียงแค่ตัวเลือกผู้ซื้อเดียวของอา สถานการณ์ในตอนนี้ไม่อนุญาตให้อาเสนอราคาอะไร คนที่สามารถเสนอเงื่อนไขได้ ก็มีเพียงแค่ผม”
อาสามขบกรามแน่นอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่ส่งเสียงอะไร
เขาก็รู้เช่นกันว่า ตอนนี้ตัวเองเป็นเพียงแค่เสือกระดาษ ฝืนทำเป็นสงบเยือกเย็นเท่านั้นเอง สิ่งที่ลู่เซิ่นพูดนั้น ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาเผชิญหน้าอยู่จริงๆ
“อาสาม” ลู่เซิ่นเก็บงำรอยยิ้มบนใบหน้าคืนมา น้ำเสียงก็เย็นชาลงเรื่อยๆ “พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของผม อากับอารองเลือกวันนี้ในการก่อเรื่อง ผมที่ต้องน้อมรับคำท้าด้วยความเคารพทั้งวันนั้น เหนื่อยมากแล้ว หลังจากกลับไปยังมีเรื่องหยุมหยิมของงานแต่งรอผมอีก ดังนั้น…..ความอดทนของผมมีจำกัด ถ้าหากว่าอายังไม่สามารถตัดสินใจได้ อย่างนั้นผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรออาต่อไปแล้ว”
เขาเอ่ยจบ ก็หันหน้าเดินกลับไปหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง ยื่นมือออกไปจัดการเอกสารบนโต๊ะ กระทั่งปิดคอมพิวเตอร์ ด้วยท่าทางรีบร้อนจะจากไปจริงๆ
ในใจของอาสามถกเถียงไปมาชั่วขณะหนึ่ง
ที่จริงแล้วการคาดการณ์ของลู่เซิ่นนั้นไม่ผิด เงินที่เขาและอารองใช้สอยในวันนี้ นอกเหนือจากเงินกู้ที่ถูกกฎหมายของธนาคารแล้ว ยังมีเงินทุนจากใต้ดินไม่น้อย จุดจบของการคืนเงินเหล่านี้ไม่ได้นั้น………อาสามไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้
ถ้าหากว่าขายสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นให้กับลู่เซิ่น แม้ว่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถแก้ไขเรื่องที่เร่งด่วนมากได้
แต่ว่า……จะขายสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นออกไปทั้งอย่างนี้
เขาไม่สมัครใจนินา!
ลู่เซิ่นคล้ายกับมองเมินเขาที่ยืนอยู่อีกด้านไปแล้ว สนใจแต่การเก็บของของตัวเองให้เรียบร้อย และตั้งใจจะเดินออกไปข้างนอก
รอจนถึงตอนที่เขาเดินไปถึงหน้าประตูห้องทำงาน ในที่สุดก็มีเสียงแหบแห้งของอาสามลอยมาจากทางด้านหลัง
“ตกลง”
มุมปากลู่เซิ่นมีรอยยิ้มพาดผ่าน แต่ถูกตัวเองซ่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
มือของเขาไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว ยื่นออกไปบิดลูกบิดประตูให้เปิดออก แล้วค่อยหันหน้ากลับไปทางอาสาม “เชิญด้านนี้ครับ”
ใบหน้าของอาสามไม่มีโทสะอย่างตอนที่มาแล้ว เดินออกไปจากห้องทำงานของลู่เซิ่น เหมือนกับสุนัขที่ต่อสู้พ่ายแพ้ตัวหนึ่ง อย่างหดหู่
ลู่เซิ่นปิดประตูด้านหลังเขา เงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นอารองกับทนายความเดินเข้ามา ยังมีหลินหยังที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งด้วย
ตอนที่อารองจากไปนั้น ความรู้สึกลิงโลดในใจนั้นก็ไม่มีแล้ว แต่ตอนนี้สีหน้ากลับมองไม่ออกว่าดีใจหรือเศร้าใจ เขาเหลือบตาขึ้นมองลู่เซิ่น คล้ายกับว่ามีอะไรจะพูด แต่ริมฝีปากขยับไปมาอยู่หลายที สุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ส่ายหน้าแล้วจากไป
อาสามเห็นสีหน้าของเขาแล้ว การตัดสินใจที่ยากลำบากเมื่อครู่นี้ก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมา
แต่เมื่อมองแผ่นหลังของลู่เซิ่นแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่ยับยั้งความรู้สึกหวั่นไหวของตัวเองลงไป
“หลินหยัง” ลู่เซิ่นหยุดเท้านิ่ง หลังจากมองส่งอารองที่เดินไปไกลแล้ว ก็หันหน้ากลับมาพูดว่า “พาทนายความไปกับอาสามอีกรอบเถอะ”
ฝีเท้าของอาสามหยุดชะงัก บนใบหน้าปรากฏแววไม่อยากจะเชื่อ “แก…….ให้ทนายความมาตกลงกับฉันหรือ”
ลู่เซิ่นยิ้มเรียบๆ “อาสาม แน่นอนว่าผมอยากจะพูดคุยกับอาด้วยตัวเอง แต่อาลืมไปหรือไม่ว่า พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของผม ผมที่เป็นเจ้าบ่าววันนี้ทั้งวันล้วนไม่ได้กลับไป ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรใช่ไหมครับ”
อาสามถูกย้อนกลับเสียจนทำให้พูดอะไรไม่ออก เพียงแค่โบกมืออย่างอ่อนแรง
ลู่เซิ่นอมยิ้มมุมปาก หมุนตัวจากไปด้วยกิริยาหล่อเหลางดงาม
อาสามเงยหน้าขึ้นมาสบตากับทนายความของลู่เซิ่นครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าเขารู้ว่าทนายความท่านนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง
พูดคุยเจรจากับเขา เกรงว่าถึงหนังตัวเองจะถลอกไปชั้นหนึ่งแล้วก็ยังต้องขาดทุนอีก
แต่ในเมื่อเดินมาจนถึงก้าวนี้แล้ว ก็ไม่มีหนทางให้หันหลังกลับอีก
เขาถอนหายใจเสียงเบา หันหน้าเดินตามทนายความเข้าไปในห้องประชุมเล็ก
……..
หลินหยังส่งอาสามเข้าไปในห้องประชุมแล้วก็เดินออกมา
รีบพุ่งตัวไปยังลานจอดรถใต้ดินอย่างรีบร้อน ลู่เซิ่นนั่งอยู่ในรถแล้ว หน้าต่างรถปิดไม่สนิท ดังนั้นเขาสามารถเห็นหน้าของลู่เซิ่นได้อย่างชัดเจน
สายตาของลู่เซิ่นมองไปยังทิศทางด้านหน้า ถ้าหากว่าคนที่ไม่สนิทเห็น ส่วนใหญ่ล้วนนึกว่าเขากำลังนั่งรอคนอย่างตั้งใจ
แต่หลินหยังติดตามลู่เซิ่นมานานขนาดนี้ คุ้นเคยกับอารมณ์ความรู้สึกของเขามาก
แท้จริงแล้ว ท่าทางเหม่อลอยแบบนี้ของลู่เซิ่น…….เห็นได้น้อยมาก
หลายปีมานี้ หลินหยังสามารถใช้มือข้างเดียวนับจำนวนครั้งที่ลู่เซิ่นเหม่อลอยออกมาได้
คล้ายกับว่าเขาถูกห่อด้วยเกราะที่มีดหอกแทงไม่เข้า มีเพียงแค่ระยะนี้ ช่วงเวลาที่ฉินซีหายตัวไป บางครั้งเขาถึงได้เผยส่วนเล็กๆบางส่วนออกมาจากเกราะ
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว ก็มากพอที่จะทำให้คนรู้สึกประหลาดใจได้แล้ว
หลินหยังไม่กล้ามองมากไปกว่านี้ เพียงแค่ไอเบาๆครั้งหนึ่ง เผยเสียงฝีเท้าเล็กน้อย เป็นการเตือนลู่เซิ่นว่าตัวเองมาแล้ว
สายตาของลู่เซิ่นมีจุดรวมขึ้นมาช้าๆ พลางหันมามองหลินหยัง
“ขึ้นรถเถอะ” เสียงของเขาแฝงไปด้วยความอ่อนล้าที่สังเกตไม่ได้ง่ายๆ
หลินหยังไม่กล้ารีรอ เปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง
คนขับรถขับรถออกจากลานจอดรถ คิดจะหมุนพวงมาลัยไปทางซ้าย มุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลลู่ตามความคุ้นชิน
ลู่เซิ่นกลับเอ่ยปากขึ้นมากะทันหันว่า “ยังไม่กลับบ้านตระกูลลู่ ไปรีสอร์ทชิงหยวน”
แน่นอนว่าคนขับรถพยักหน้ารับคำ โดยไม่เอ่ยถามว่าทำไมสักประโยคหนึ่ง
ลู่เซิ่นเอ่ยประโยคนี้จบแล้ว ก็หลับตาลง ไม่เอ่ยพูดอะไรอีก
สิ่งที่ทำในวันนี้ทั้งหมด หากมองจากสายตาคนนอก ลู่เซิ่นน่าจะเรียกได้ว่าครอบครองชัยชนะทั้งหมดแล้ว
เขาใช้ราคาต่ำสุดในการซื้อหุ้นบริษัทลู่ซื่อเกือบจะ 30% แบบนี้แล้ว แม้ว่าหลังจากนี้จะสูญเสียความเชื่อถือจากลู่เหวยและสูหยิงไป เขาอาศัยสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นจำนวน 43% ในมือของตัวเอง ก็สามารถยืนอยู่ในบริษัทลู่ซื่อได้อย่างมั่นคงแล้ว
ไม่มีใครสามารถโต้แย้งกับเขาในบริษัทลู่ซื่อได้อีก
หมากที่เขาใช้ในครั้งนี้ วางตำแหน่งรากฐานของตัวเองในบริษัทลู่ซื่อได้อย่างมั่นคง สามารถจับหนอนบ่อนไส้ในบริษัทลู่ซื่อออกมาได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำได้งดงามเป็นอย่างมาก
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คืนวันนี้คงจะมีการจัดโต๊ะเลี้ยงเฉลิมฉลองไปแล้ว
แต่จากตัวของลู่เซิ่นแล้ว กลับมองไม่ออกถึงความปีติยินดีใดๆที่มีต่อเรื่องนี้
ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาพบเจอคลื่นใหญ่ลมแรง อุปสรรคมากมาย และก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาใส่ใจบริษัทลู่ซื่อ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เผยออกมาจากร่างของเขาเป็นความอ่อนล้าที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ห่อหุ้มเขาเอาไว้
ทำให้ความปีติยินดีของเขา มองดูแล้วไม่เหมือนความยินดีเลย