บทที่ 1262 อาจจะเป็นโชคชะตา
จ้านเซินถูกถังย่าโน้มน้าวแบบนี้ถึงได้ฝืนรับปาก
แต่เมื่อส่งฉินซีไปยังประเทศF แล้ว เขาก็เสียใจขึ้นมาในภายหลังเล็กน้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขามีธุระจวนตัว เกรงว่าแผนการนี้ของถังย่าคงล้มเหลวแล้วจริงๆ
แต่ว่า……..ผลลัพธ์สุดท้ายจากข้อเสนอของถังย่า จะเป็นอย่างที่เธอพูดกับฉินซี หรือว่าเป็นอย่างที่จ้านเซินพูดแบบนั้นกันแน่
เกรงว่ามีเพียงแค่ตัวถังย่าเท่านั้นที่จะรู้
………
ทางด้านฉินซีนั้น ไม่รู้เรื่องโทรศัพท์สายนั้นของถังย่าเลย
เธอไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะมาเพลิดเพลินกับอิสระที่หายไปนานของตัวเอง แต่มุ่งหน้าไปยังทิศทางของรีสอร์ทชิงหยวนด้วยก้าวย่างที่รวดเร็ว
เวลาใกล้จะสองทุ่มแล้ว ชานเมืองละแวกนี้ รถโดยสารประจำทางหยุดวิ่งเร็วมาก อีกทั้งเรียกรถได้ยาก
อาศัยตัวฉินซีในการรีบไปบ้านตระกูลลู่…….ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน
ตัวเลือกเดียวของเธอ ก็คือรีสอร์ทชิงหยวน
สำหรับลู่เซิ่นนั้น…
เจ้าบ่าวหมาดๆ ไม่อาจอยู่ในสถานที่อันห่างไกลที่เคยอยู่กับภรรยาคนก่อนด้วยกันในคืนนี้ได้
แม้ว่าจะไม่ได้มีสาวงามอรชรอยู่ในอ้อมแขน แต่ก็ต้องรอคอยงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้แน่นอน
ดังนั้นวันนี้เธอไม่ได้โอบกอดความหวังที่จะได้พบกับลู่เซิ่นไว้แล้ว แผนการของเธอในคืนนี้มีเพียงแค่พักอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนดีๆสักคืนหนึ่ง
สำหรับวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร รอถึงพรุ่งนี้ค่อยไปคิดก็แล้วกัน
เธอจิตใจร้อนรน ดังนั้นฝีเท้าจึงไวตามไปด้วย ใช้เวลาครึ่งหนึ่งจากที่ประมาณการเอาไว้ ก็ถึงรีสอร์ทชิงหยวนแล้ว
เมื่อได้เห็นประตูเหล็กของรีสอร์ทชิงหยวน ฉินซีก็รู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา
คาดว่าเป็นเพราะสาเหตุที่ลู่เซิ่นก็ไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่นานแล้วเช่นกัน พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เข้ามาในรีสอร์ทชิงหยวนไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้ว่าจะเป็นฉินซี ก็สามารถมองเห็นช่องโหว่มากมายได้ในครั้งเดียว
เพียงแต่เธอคิดว่า เธอก็สามารถลักลอบเข้าไปในรีสอร์ทชิงหยวน โดยไม่มีใครรู้เหมือนกับจ้านเซินได้
แต่เธอไม่ได้ทำแบบนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบเธอคิดว่า ที่นี่เป็นบ้านของเธอ
แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่แล้ว ครั้งหนึ่งในอดีต เธอก็เคยคิดจะให้ที่นี่เป็นบ้านของตัวเองอย่างใจจริง
ดังนั้น ทำไมจะต้องหลบๆซ่อนๆในตอนที่กลับมาบ้านของตัวเองด้วยล่ะ
ฉินซีคิดแบบนี้ พลางเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ของรีสอร์ทชิงหยวน
เธอไม่มั่นใจว่าสามารถใช้การแยกแยะรอยนิ้วมือและใบหน้าของตัวเองเพื่อให้เข้าไปได้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัย เธอจึงเคาะประตูป้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มาเข้าเวรแทน
น้อยมากที่จะมีคนมาเคาะประตูแบบนี้ แรกเริ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อยื่นหน้าออกมาเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนแล้ว ทั่วทั้งร่างก็แข็งค้าง
“คุณ…..คุณนาย!” เขาเหมือนได้พบกับแม่ใหม่ของตัวเองจริงๆ ทั้งร่างโผเข้ามาแล้วค่อยๆหยุดลงที่ด้านหน้าฉินซี พิจารณามองเธอขึ้นๆลงๆ คล้ายกับกลัวว่าตัวเองจะมองคนผิด “คุณกลับมาได้อย่างไรครับ! ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว!”
น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นมาก คล้ายกับวกไปวนมาอยู่บ้าง ดังนั้นฉินซีจึงไม่ได้สนใจว่าเขายังคงเรียกตัวเองว่า “คุณนาย” เพียงแต่อดทนรอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอ่ยจนจบ ค่อยพูดว่า “ฉันแค่ผ่านมา กลับมาเยี่ยมเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำให้คนอื่นแตกตื่น ถ้าวันนี้สะดวกให้เข้าไปล่ะก็ ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อยเถอะ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตื่นเต้นจนมือสั่น “คุณพูดอะไรน่ะครับ! คุณกลับมาบ้านของตัวเอง สะดวกไม่สะดวกอะไรกัน! แค่ยืนสแกนตรงนั้นก็เข้าไปได้แล้วครับ!”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้…..ลายนิ้วมือและใบหน้าของฉันยังใช้ได้อยู่หรือ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองไปทางฉินซีด้วยสายตาประหลาดใจมาก “บ้านของตัวคุณเอง จะใช้ไม่ได้ได้อย่างไรครับ”
ฉินซีถูกคำว่า “บ้านของคุณ” ที่เขาเอ่ยซ้ำอยู่สองรอบ ทำให้ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่มีทีท่าจะอธิบายอะไรกับเธอไปมากกว่านี้ แต่รีบเปิดประตูแทนเธอ ให้เธอเข้าไป กระตือรือร้นจนคล้ายกับว่าต้อนรับแขกคนสำคัญอะไรอยู่
ฉินซีเดินเข้าไปด้านใน พลางไตร่ตรอง คาดว่าหลังจากนี้ลู่เซิ่นก็ตั้งใจที่จะไม่กลับมาที่นี่แล้วเช่นกัน ถึงไม่ได้สิ้นเปลืองสมองที่จะลบรอยนิ้วมือของตัวเองออก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นก็คงจะได้รับข่าวสารล่าช้า ถึงได้พูดกับตัวเองว่า ที่นี่ยังคงเป็น “บ้านของตัวเอง”
ฉินซีฝืนหาคำอธิบายมาข้อหนึ่ง และก็ไม่ได้เก็บข้อสงสัยนี้มาใส่ใจต่อไป
อีกทั้งการกลับมาในครั้งนี้ของเธอเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป ดังนั้นจึงตั้งใจที่จะไม่รบกวนผู้คนมากเกินไป พรุ่งนี้ตอนจากไปจะได้ไม่ต้องเพิ่มความโศกเศร้า เธอคิดจะพบเพียงแค่พ่อบ้านเท่านั้น
อีกทั้งการจากไปในตอนนั้นก็ประหลาดมาก คาดว่าจะทำให้พ่อบ้านเป็นกังวล เขาเป็นห่วงตัวเองขนาดนั้นมาโดยตลอด……..
ฉินซีคิดว่า ตัวเองน่าจะอธิบายให้กับพ่อบ้านฟังดีๆสักรอบ
คิดแบบนี้แล้ว เธอก็เดินเข้าไปในตึกด้านข้างที่พ่อบ้านพักอยู่
ตอนนี้ลู่เซิ่นก็ไม่อยู่ เขาน่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องทำ น่าจะพักอยู่ที่ห้องของตัวเอง
อธิษฐานให้เขาไม่ได้ไปช่วยงานที่ตระกูลลู่ มิเช่นนั้นตัวเองคงมาเสียเที่ยวแล้วจริงๆ
ฉินซีเดินไปถึงหน้าประตูห้องของพ่อบ้าน ด้านหนึ่งก็อธิษฐานเงียบๆในใจ อีกด้านหนึ่งก็เคาะประตู
——ไม่มีเสียงคนตอบรับ
ฉินซีไม่เชื่อเรื่องผี เคาะประตูไปครู่หนึ่งแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่มีเสียงคนตอบรับ
เธอจึงต้องลงไปชั้นล่าง เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง
ตอนที่เห็นบานหน้าต่างมืดสนิทจากห้องพ่อบ้านนั้น จิตใจของฉินซีก็ดิ่งลึกลงไป
เขาไม่อยู่
ฉินซีเหมือนถูกดึงกระดูกออกมาชั่วขณะ ความหดหู่กดทับลงบนบ่า
…….หรือว่า ตัวเองจะถูกกำหนดให้มาเสียเที่ยวเสียแล้ว
หาพ่อบ้านไม่เจอ ชั่วขณะหนึ่งที่เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหน จึงเดินไปรอบรีสอร์ทชิงหยวนอย่างไร้จุดหมายปลายทางขึ้นมา
อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หน้าประตูรายงานก่อนแล้ว หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าในรีสอร์ทชิงหยวนไม่มีเจ้านายอยู่ การรักษาความปลอดภัยเลยหละหลวม ฉินซีเดินอยู่รอบหนึ่งขนาดนี้แล้ว ยังไม่พบกับคนรับใช้คนไหนเลย และก็ไม่ได้ถูกใครขัดขวางเอาไว้ด้วย
สถานที่อันคุ้นเคย ทุกแห่งล้วนเป็นความทรงจำ
เธอจำได้ชัดเจนมากกว่า สถานที่ใดคือที่ที่พ่อบ้านให้คนจุดดอกไม้ไฟ ในตอนที่เธอกับลู่เซิ่นแต่งงานกัน สถานที่ใดเป็นที่ที่แต่ละคนอดกลั้นโทสะของตัวเองเอาไว้แล้วออกไปเดินเล่น ก่อนจะวนมาพบกันอีก และยังมีสถานที่ใดที่…….พวกเขาพบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย
ฉินซีเงยหน้าขึ้น ถึงได้พบว่าตัวเองเดินมาถึงหน้าตึกหลักโดยไม่รู้ตัว
ที่นี่ไม่มีเจ้านายอยู่อาศัย ดังนั้นตึกหลักจึงมืดสนิท ไม่ได้เปิดไฟ และไม่มีใคร
ฉินซีนั้นคล้ายกับว่าควบคุมเท้าตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ยกเท้าก้าวเดินเข้าไปด้านในโดยไม่ต้องคิด
เธออาศัยอยู่ที่นี่มาปีกว่า จากไปสามเดือนแล้ว
การตกแต่งที่นี่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งหมดดูแล้วล้วนคุ้นเคยทั้งนั้น แต่ฉินซีก็รู้เช่นกันว่า เธอไม่ใช่ตัวเองคนก่อนหน้านี้แล้ว ที่นี่……ก็ไม่ใช่สถานที่ในอดีตแบบนั้นแล้วเช่นกัน
สามเดือนก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอตัดสินใจจะจากไปนั้น ก็เคยเดินผ่านที่แห่งนี้ไปรอบหนึ่งอย่างคิดถึง แต่ว่าตอนนั้น เธอไม่รู้ว่าโชคชะตาของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้
เธอที่เติบโตขึ้นมาอย่างคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นช่างภาพที่เดินอยู่ในเส้นทางของชีวิตคนปกติ ก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองคนหนึ่งขององค์กรใต้ดิน
นี่คงจะเป็นโชคชะตาสินะ
เป็นเรื่องที่ตัวเองไม่สามารถจินตนาการว่าจะเกิดได้ตลอดกาล
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใคร ฉินซีตัดสินใจเดินไปรอบห้องรับแขกรอบหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย และถือโอกาสเดินขึ้นไปที่ชั้นสองช้าๆ
เธอไม่ได้เปิดไฟ และไม่คิดจะทำให้คนอื่นแตกตื่น แม้ว่าจะหลับตา ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ
เดินขึ้นบันได ทั้งหมดสิบก้าว ทางด้านขวามือ
ฉินซีหยุดลง เหลือบตาขึ้นมองห้องนอนที่ตัวเองจากไปสามเดือนแล้ว ก็ยื่นมือออกไป บิดลูกบิดเปิดประตู