บทที่ 1271 ทั้งหมดเป็นเพียงการเข้าใจผิด
งานแต่งงานของหัวหน้าตระกูลลู่นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ดังสนั่นไปทั้งประเทศ F
ถ้าหากสืบหาตามจริง ความพยายามในการกระจายข่าวก่อนหน้านี้ของลู่เซิ่นเพื่อให้ฉินซีได้รับรู้ข่าวการแต่งงานของเขาก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
แท้จริงแล้วลู่เซิ่นไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ แต่จู่ ๆ ก็ยอมรับการสัมภาษณ์ต่อสาธารณชนหลายครั้งก่อนที่จะแต่งงานและประกาศข่าวการแต่งงานด้วยตัวเอง
การกระทำที่ผิดปกติเช่นนี้ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเสียจากเป็นการส่งสัญญาณให้ผู้คนรับรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้มาก
และฝ่ายประชาสัมพันธ์ภายใต้คำสั่งของเขา ไม่ได้แทรกแซงการควบคุมความคิดเห็นของประชาชนโดยตรง เพียงแต่ชี้นำอย่างพอเหมาะพอควร
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดเสียงซุบซิบนินทากันในวงกว้าง
ท้ายที่สุดแล้วการซุบซิบนินทาเหล่าคนรวยเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่จะกล่าวถึงหลังจากมื้ออาหารค่ำ แค่หัวข้อที่ว่าลู่เซิ่นต้องเสียเงินเท่าไหร่ในการแต่งงานก็เป็นข่าวพาดหัวของนิตยสารซุบซิบมาหลายวันแล้วไม่รู้ว่าเลี้ยงชีพนิตยสารไปได้กี่ฉบับ
ภายใต้เจตนาที่ต้องการควบคุมของลู่เซิ่น ทุกอย่างเกี่ยวกับงานแต่งงานไม่ได้เป็นความลับ ยกเว้นเพียงประเด็นเดียว นั่นคือตัวตนของเจ้าสาว
มีกี่คนที่กันทุ่มแรงกายทั้งหมดของพวกเขาและสอบถามไปทุกหนทุกแห่งเพื่อต้องการทราบตัวตนของเจ้าสาวที่ลู่เซิ่นให้ความสำคัญมาก แต่ไม่มีใครได้ข้อมูลที่แน่นอนสิ่งเดียวที่พวกเขารู้คือเจ้าสาวอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลลู่
นี่เป็นข่าวที่โชคร้ายมากสำหรับผู้สื่อข่าวหลายคน
เนื่องจากงานแต่งงานนี้ไม่ได้ให้คนทั่วไปเข้าร่วม จึงมีขั้นตอนการรักษาความลับที่เข้มงวดรอบด้านของบ้านตระกูลลู่ และแม้แต่น่านฟ้าเหนือบ้านตระกูลลู่ ก็มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการยิงโดรน ดังนั้นนี้จึงเป็นโอกาสเดียวที่เหล่าผู้สื่อข่าวที่จะคว้าได้คือช่วงที่เจ้าสาวเข้าไปในบ้าน
แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ แน่นอนว่าเจ้าสาวจะไม่ออกจากบ้านตระกูลลู่ เหล่าผู้สื่อข่าวก็จะไม่มีทางได้ถ่ายทำ
ทุกคนขมวดคิ้ว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้พวกเขายืนอยู่ที่ประตูบ้านตระกูลลู่ เพื่อรอดูว่าพวกเขาจะได้รับข่าวพิเศษใดๆหรือไม่
คนที่มาถึงในตอนรุ่งเช้าก็ได้ตำแหน่งที่ดีที่สุดไป ในช่วงเวลาเจ็ดโมงครึ่งก็ติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อย เพื่อที่จะสามารถบันทึกภาพได้เมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแต่รอมาจนถึงเก้าโมงเช้า เมื่อทางเข้าบ้านตระกูลลู่เบาบางแขกมาถึงก็ไม่มีวี่แววของลู่เซิ่นและเจ้าสาว
กลุ่มของคนที่ผิดหวังก็ได้แต่จดจ่อกับการจ้องมองไปที่แขกที่ได้รับเชิญเพื่อต้องการดูว่าพวกเขาจะสามารถขุดข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์ได้หรือไม่
เมื่อกลุ่มคนเริ่มมองไปรอบๆ จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งขับมาตรงหน้าพวกเขา รถคันดังกล่าวแล่นเร็วมากจนแทบจะเหลือไว้เพียงภาพติดตาต่อหน้าทุกคนแม้แต่ผู้สื่อข่าวที่มีประสบการณ์ก็ถ่ายภาพได้ไม่กี่ช็อตแบบสะท้อนและหลายคนภาพก็หลุดโฟกัส
รถคันนี้ขับผ่านพวกเขาไปและพวกเขาเผลอมองไปยังทิศทางที่รถผ่านโดยไม่รู้ตัว
เห็นเพียงประตูใหญ่ของบ้านตระกูลลู่ถูกจัดไว้อย่างดี เมื่อรถขับผ่านมาจึงเปิดประตูขนาดที่รถสามารถขับเข้าไปได้แล้วก็รีบปิดอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มผู้สื่อข่าวได้สติพวกเขาก็มีเวลาถ่ายภาพได้เพียงไม่กี่ภาพเมื่อประตูกำลังจะปิด มีเพียงไม่กี่คนที่โชคดีที่ได้ภาพถ่ายที่ไม่เลือนรางและเห็นว่าหน้าตารถคันนั้นเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวที่อยู่ข้างๆเขาจึงเอนตัวไปข้างหน้าด้วยความอิจฉาอยากเห็นว่ารถหน้าตาเป็นอย่างไร
ใครกันนะ
ถ้าฉันจำไม่ผิด แขกของตระกูลลู่ วันนี้ทุกคนต้องผ่านประตูหน้าบ้านสิ? อย่างนั้นประตูนี้ก็ไม่ควรเปิดสาธารณะจึงจะถูก
ดูๆแล้ว รถคนนี้น่าจะเป็นของคนในตระกูลลู่
คนสองสามคนคุยกันและมองไปมาตามรูปถ่ายสองสามรูป แต่โชคไม่ดีที่ตำแหน่งของเขาไม่สามารถถ่ายเลขทะเบียนรถได้ มีเพียงมุมด้านข้างของรถและติดฟิล์มดำอย่างหนาไว้ที่กระจกรถ ดังนั้นรูปถ่ายจึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใครนั่งอยู่ในรถ
เพียงนักข่าวที่พูดคุยกับลู่เซิ่นตลอดทั้งปีเขาถามด้วยความไม่แน่ใจ “รถคันนี้ … ใช่ของลู่เซิ่นรึเปล่า”
เพียงประโยคเดียว หลายคนเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เสียงคุยกันก็ดังเซ็งแซ่ขึ้นมา
“จริงเหรอ”
“รถของลู่เซิ่นเหรอ”
“ทำไมรถของลู่เซิ่นถึงมาที่นี่ตอนนี้ล่ะ”
“แกแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด”
นักข่าวที่เริ่มพูดขึ้นมารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยหลังจากถูกถามครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉัน…ฉันแค่คิดว่า…”
อย่างไรก็เป็นรถสีดำทั้งหมดมันยากที่จะแยกแยะความจริงกับเท็จเมื่อรถขับเร็วมากและภาพก็ไม่ชัดเจนดังนั้นความมั่นใจของนักข่าวจึงไม่เต็มร้อย
หลายคนคุยกันนิดหน่อย แต่ไม่มีทางแน่ใจได้จึงแยกย้ายกัน
หากแต่ผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนก็ออกมาจากบ้านตระกูลลู่และขอให้ผู้สื่อข่าวออกไปอย่างสุภาพและพวกเขาก็ล้างกล้องของนักข่าวด้วย
เหล่านักข่าวจึงแน่ใจแล้วว่ารถคันนั้นต้องเป็นลู่เซิ่นอย่างแน่นอน
แต่แน่ใจแล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อภาพถ่ายของพวกเขาถูกลบไปหมดแล้ว
แม้ว่าจะมีรูปถ่าย แม้ว่าจะมีรูปถ่าย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะส่งออกไปเพราะเสี่ยงต่อการถูกลู่เซิ่นจำได้ จึงทำได้เพียงเก็บสถานการณ์ปริศนานี้ไว้ในใจ
แท้จริงแล้วคืนก่อนแต่งงานลู่เซิ่นไปที่ใดกันแน่
แต่ภายในบ้านตระกูลลู่ รถคันที่เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่นั้น คนที่นั่งอยู่ภายในนั้นก็คือลู่เซิ่นและฉินซี
ฉินซีนึกถึงบรรดาผู้สื่อข่าวที่อยู่ข้างทางเมื่อครู่นี้และเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้น เธอก็ไม่สบายใจเล็กน้อย “พวกเขาจะไม่ถ่ายภาพได้ใช่ไหม”
ลู่เซิ่นแสดงออกอย่างเรียบเฉย “ไม่ได้”
ถึงจะถ่ายได้ก็ไม่กล้าเผยแพร่ออกไป เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเขาสื่อถึงประโยคนี้อย่างชัดเจน
ฉินซีรับฟังแต่ไม่เชื่อทั้งหมด แต่หลังจากนั้นเธอก็ปล่อยวางเล็กน้อย ท้ายที่สุดเธอมีหลายสิ่งที่ต้องกังวลในตอนนี้ ดังนั้นความสนใจของเธอจึงถูกเบี่ยงเบนไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเธอออกจากฐานขององค์กรเมื่อคืนวาน เธอไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะดำเนินไปเช่นนี้
เดิมทีเธอคิดว่าถ้าเธอโชคดีเธอสามารถพูดคุยกับลู่เซิ่นได้ดีฟังคำอธิบายเล็กน้อยจากเขาจากนั้นก็บอกลากันก็เพียงพอแล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่าเรื่องต่างๆจะกลายเป็นแบบนี้
ทุกสิ่งที่เธอคิดเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด งานแต่งงานของลู่เซิ่น … ถูกเตรียมไว้สำหรับเธอ
เรื่องราวที่ได้ยินเมื่อคืนมันหนักมากเกินไป ฉินซีรู้สึกเพียงว่าเธอถูกยัดด้วยฟองน้ำจำนวนมากในหัวทำให้ความคิดของเธอช้าลง
ฉินซีมองไปที่ด้านข้างของลู่เซิ่นก็นึกถึงฉากเมื่อคืนขึ้นมา
เมื่อคืนเธอได้คิดทบทวนและตอบรับคำขอแต่งงานของลู่เซิ่น
และความสุขของลู่เซิ่นเกือบจะกลายเป็นจริงเพราะเธอพยักหน้าและหลังจากที่เธอตกลงเขาก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อกอดฉินซีเอาไว้แน่น
ทั้งสองจูบกันเป็นเวลานาน แต่พวกเขารู้ว่าถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระแอมเบาๆ
สมองของฉินซีขาดออกซิเจนเนื่องจากถูกจูบเมื่อหันหน้าไปมองผู้คนดวงตาของเขาก็ยังคงพร่ามัวใช้เวลาสองสามวินาทีก่อนที่จะรู้ว่าเป็นพ่อบ้านที่มาเคาะประตู
ใบหน้าของพ่อบ้านดูจริงใจเหมือนก่อนที่จะแยกจากกันเขายิ้มและมองไปที่คนทั้งสองกอดกันแน่นพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้วหรือครับ”
น้ำเสียงของพ่อบ้านอบอุ่นไม่ต่างจากในอดีตราวกับว่า การหายไปของฉินซีในช่วงเวลานี้เพียงแค่ออกไปสักพักตามปกติและกลับมาในตอนเย็น
ใบหน้าของฉินซีแย้มยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่เธอไม่สามารถพยักหน้าตอบและพูดว่า “ฉันกลับมาแล้ว” เพราะเธอรู้ว่าเธอ … จะออกจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้
เพียงแต่พ่อบ้านจมอยู่กับความสุขที่ได้เห็นเธออีกครั้งและไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในการแสดงออกของเธอเขาแค่ยิ้มและพูดว่า “คุณพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำเถอะครับ ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้”
หลังจากพูดจบเขาก็มองไปที่ลู่เซิ่นอย่างมีความหมาย
ฉินซีรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรได้ในทันทีใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ลู่เซิ่นพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมากับพ่อบ้าน “ทราบแล้วครับ”
พ่อบ้านจากไปด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่นได้อธิบายความสงสัยของเธอมาก่อนแล้วดังนั้นเมื่อเขามองไปที่ฉินซีในตอนนี้เขาก็เต็มไปด้วยความสุขที่ในที่สุดทั้งสองคนก็กลับมามีความสุข สำหรับเรื่องที่สับสนว่าลู่เซิ่นรักคนอื่นหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่ได้มีตั้งนานแล้ว
ประตูห้องนอนถูกปิดอีกครั้งและในที่สุดลู่เซิ่นและฉินซีก็แยกจากกันเล็กน้อย แต่ลู่เซิ่นยังคงโอบที่เอวของฉินซีก้มศีรษะลงข้างหูของเธอและพูดว่า “ทุกอย่างในห้องน้ำถูกจัดไว้ให้เธอแล้ว ตอนนี้ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถอะ”
ฉินซีมองไปที่ประตูห้องที่ปิดสนิท แต่เธอกลับแปลกใจเล็กน้อย
เมื่อครู่…เธอได้บอกกับลู่เซิ่นแล้วว่าเธอจะจากไปในวันพรุ่งนี้แล้ว หากแต่ปฏิกิริยาของเขานั้นไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก จนฉินซีสงสัยว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้หรือเปล่านะ
ดังนั้น…แม้ว่าบรรยากาศตอนนี้ดีมากแล้ว แต่เธอก็จำต้องทำลายมันด้วยตัวเธอเอง
“ลู่เซิ่น” ฉินซีหันกลับมาเธอเงยหน้ามองลู่เซิ่นพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก “ฉันพึ่งจะพูดไปว่าพรุ่งนี้ฉันจะต้องไป…”
“ฉันรู้” ก่อนที่ฉินซีจะพูดจบลู่เซิ่นก็ขัดจังหวะเธอ “ฉันรู้ว่าเธอจะไปจากที่นี่หลังจากงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้”
การแสดงออกของเขานิ่งมากไม่มีความไม่พอใจหรือโกรธตามที่ฉินซีคาดแต่กลับทำให้ฉินซีรู้สึกสับสนเล็กน้อย “นาย … คิดว่ามันไม่สำคัญเหรอ”
ลู่เซิ่นมองลงไปที่เธอและไม่ได้ตอบคำถามนี้แต่เขาถามฉินซีกลับไป “แล้วเธอล่ะ ทั้งที่รู้ว่าหลังจากงานแต่งงานจบลงก็จะต้องจากไป แล้วทำไมถึงตกลงที่จะแต่งงานกับฉัน”
ฉินซีนึกคำพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เธอมีเหตุผลมากมายในใจอยู่แล้วสรุปได้ว่าเป็นเพียงเพราะความรักของเธอที่มีต่อลู่เซิ่น เพราะเธอรักเขา ดังนั้นเธอจึงเต็มใจที่จะเป็นเจ้าสาวในงานแต่งงาน แม้ว่าจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ในภายหลัง แต่เธอก็ไม่คิดเสียใจ
แต่คำพูดแบบนี้…เธอจะพูดออกไปได้ยังไงกัน
โชคดีที่ลู่เซิ่นดูเหมือนจะมองเห็นความคิดของเธอผ่านแววตา เขาหัวเราะเสียงทุ้มก้มศีรษะลงพูดข้างหูเธอว่า “เธอคิดยังไงฉันก็คิดอย่างนั้น ฉินซีฉันรักเธอและเพราะฉันรักเธอฉันจึงยอมทุกอย่าง”
คำสารภาพของลู่เซิ่นเกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ราวกับว่าทั้งร่างกายของฉินซีถูกคลื่นแห่งความสุขซัดกระหน่ำและครู่หนึ่งเธอก็ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เล็กน้อย
เมื่อครู่ลู่เซิ่นพึ่งจะพูดว่า…ฉันรักเธองั้นเหรอ
เขา…สารภาพกับฉันเหรอ
ทันใดนั้นฉินซีก็นอนพลิกตัวกลับไปกลับมานึกถึงช่วงที่อาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงสองสามวันสุดท้าย เธอได้แต่ถามตัวเองทุกคืน แท้จริงแล้วเธออยู่ตรงไหนในใจของลู่เซิ่น เขาเห็นเธอ…เป็นอะไรกันแน่?
ฉินซีไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเสแสร้ง แต่ตอนนี้ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วประโยคที่ว่าฉันรักคุณไม่มีประโยชน์ทางกฎหมายหรือเป็นสัญญาจริงจัง แต่น้ำหนักของคำสัญญานี้คืออะไร ไม่มีสัญญาใดสามารถแทนที่ได้
ปรากฏว่าประโยคนี้เพียงพอที่จะทำให้เธอสบายใจมากพอที่จะทำให้เธอเข้าใจว่าเธอสำคัญแค่ไหนในหัวใจของลู่เซิ่น ท่อนแขนของลู่เซิ่นโอบกอดฉินซีอีกครั้ง “ตราบใดที่เธอมีฉันอยู่ในใจแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้แค่ในงานแต่งงานครั้งนี้ก็เพียงพอสำหรับฉันแล้ว”
ฉินซีขยับนิ้วของเธอและในที่สุดก็เอื้อมมือออกไปกอดลู่เซิ่น
เธอก็ไม่คิดเช่นนั้น
ตอนนี้แผนการของเธอที่จะออกจากองค์กรยังอีกยาวไกลเธอจะออกจากองค์กรเมื่อไหร่และเมื่อไหร่เธอจะสามารถอยู่กับลู่เซิ่นได้อย่างสมบูรณ์และตอนนี้การตกลงแต่งงานกับเขาเป็นเพียงการตอบสนองความต้องการของตัวเองเล็กน้อย
“…ว่าแต่งานแต่งงานพรุ่งนี้จัดยังไงเหรอ” ทั้งสองกอดกันเงียบ ๆ ชั่วขณะ ฉินซียังคงไม่สามารถระงับความสงสัยได้และทำลายบรรยากาศที่อบอุ่นอีกครั้ง
เธอก็รู้สึกว่าคืนนี้ช่างทำให้คนเสียอารมณ์จริงๆ แต่ … จากประสบการณ์ที่ผ่านมาตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าปัญหาทั้งหมดรอไม่ได้ ขอเพียงแค่มีการอธิบายทุกอย่างก่อนที่จะเกิดความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้ในที่สุด
ลู่เซิ่นยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องกังวลพรุ่งนี้ฟังฉันเท่านั้นและฉันจะจัดการทุกอย่างเอง”
น้ำเสียงของเขามุ่งมั่นเกินไป ดังนั้นฉินซีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้และหยุดตั้งคำถาม
อาจเป็นเพราะเขากังวลเกี่ยวกับงานแต่งงานที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ลู่เซิ่นจึงไม่ได้ทำอะไรอีกเขาวางฉินซีลงในอ่างอย่างเหมาะสม ทั้งสองคนคลุมด้วยผ้านวม ฉินซีนอนในอ้อมแขนของลู่เซิ่นเคียงข้างกันและพูดคุยกันเพียงเท่านั้น
ทั้งสองแยกจากกันไปสามเดือน แม้ว่าฉินซีจะมีความลับมากมายที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ หากแต่ก็ยังไม่สามารถขวางกั้นคนสองคนให้ใช้ชีวิตร่วมกัน.
มันเป็นเพียงความเข้าใจไปโดยปริยาย ลู่เซิ่นไม่ได้พูดถึงความยากลำบากในการตามหาฉินซีในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาและฉินซีไม่ได้บอกว่าเธอคิดถึงลู่เซิ่นแทบขาดใจเมื่ออยู่บนเกาะ ราวกับความทุกข์ทรมานในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ในเวลานี้ลมจะเบาลงตราบใดที่ยังสามารถกอดอีกฝ่ายได้ความยากลำบากทั้งหมดจะสลายไปเอง
สมองของฉินซีรู้สึกกระวนกระวายอย่างมากในหนึ่งวันแม้ว่าเธอจะนอนตอนเที่ยง แต่การได้รับข่าวมากเกินไปในคืนนี้ทำให้สมองของเธอรู้สึกเหนื่อยล้า
ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนพูดกันสักพักเสียงของ ฉินซีก็ดูแผ่วเบาเล็กน้อย
“…ลู่เซิ่น พรุ่งนี้ทุกอย่างจะโอเคจริงไหม” ก่อนที่เธอจะหลับไปก็ได้พูดประโยคสุดท้ายทิ้งไว้
ลู่เซิ่นลูบหลังเธอเบา ๆ “นอนเถอะ ทุกคนอย่างจะเรียบร้อย”
……
บางทีอาจจะห่างจากเตียงนอนที่รีสอร์ทชิงหยวน ไปนานหรือบางทีการที่ลู่เซิ่นอยู่เคียงข้างฉินซีจึงนอนหลับสนิทในครั้งนี้ซึ่งเกือบจะเป็นการนอนหลับที่ดีที่สุดในรอบสามเดือน
กว่าเธอจะลืมตาตื่นก็เป็นเวลาเกือบแปดโมงแล้ว
เธอยื่นมือออกไปแล้วลูบเบาๆ
เตียงก็เย็นเฉียบและไม่มีใคร
ฉินซีตกใจและลุกขึ้นนั่ง
เธออยู่รีสอร์ทชิงหยวนไม่ผิดแน่และนอนบนเตียงของเธอเอง แต่ …ลู่เซิ่นไปไหน?
ภายในเวลาไม่กี่วินาทีฉินซีได้ประเมินความเป็นไปได้มากมายในหัว เธอยังสงสัยว่าทุกอย่างเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรนอกจากความฝันของเธอเอง แต่เธอเหนื่อยเกินไปจึงหลับไปบนเตียง ลู่เซิ่นไม่เคยมาและไม่มีการขอแต่งงานหรือคำสารภาพมันเป็นก็แค่เธอคิดไปเอง
เมื่อเธอตกอยู่ในความคิดนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงออกมาจากประตูห้องน้ำ