บทที่ 126 ปล่อยให้คนอื่นอิจฉาก็แล้วกัน
“ปกติคุณก็ใช้ประโยชน์จากฉันอยู่เรื่อย ตอนนี้ให้ฉันใช้ประโยชน์จากคุณหน่อยเถอะน่า……” เวินจิ้งออดอ้อนออเซาะอย่างอ่อนโยน
มู่วี่สิงเชิดใบหน้าอันเรียวเล็กของหญิงสาว และจูบลงไปอย่างลึกซึ้ง
ดวงตาของเวินจิ้งกลับถูกประทับไปด้วยภาพใบหน้าหล่อเหลามาดเข้มของเขา เธอเขย่งปลายเท้ายกตัวขึ้นไปหาเขา
หลี่ซาน ผู้มารอรับอยู่ที่สนามบิน มองดูพวกเขาทั้งสองคนกำลังจูบกันและกันจากที่ไกลตา เธอขมวดคิ้วขึ้น และสาวเท้าก้าวเข้าไปขัดจังหวะการพลอดรักของคนทั้งสองคน
“คุณหมอมู่ เชิญทางนี้ค่ะ”
เวินจิ้งก้มหน้าลงด้วยความเขินอายครู่หนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิกมู่วี่สิง “คนอื่นเขาเห็นหมดแล้ว”
“ปล่อยให้คนอื่นเขาอิจฉาตาร้อนไปก็แล้วกัน”
“…….” เวินจิ้งนิ่งเงียบ
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เวินจิ้งไม่สามารถเข้าไปในห้องผู้ป่วยได้ เธอจึงรออยู่ที่โถงหลักชั้นหนึ่งคนเดียว มู่วี่สิงจึงส่งเกาเชียนมาคอยดูแลปกป้องเธอ
เมื่อก้าวเข้าไปในลิฟต์ หลี่ซานก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “คุณหมอมู่ คุณแต่งงานแล้วเหรอคะ”
เรื่องนี้เป็นข่าวที่เพิ่งแพร่กระจายไปทั่วโรงพยาบาลเมื่อวันก่อน มู่วี่สิงยื่นขอลาออก และให้เหตุผลอย่างไม่คาดคิดว่าอาชีพนี้ไม่เอื้อต่อความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสามีและภรรยา
แม้เธอจะรู้ว่ามู่วี่สิงปฏิบัติกับเวินจิ้งต่างออกไป แต่คาดไม่ถึงว่าเวินจิ้งจะแต่งงานกับมู่วี่สิงเรียบร้อยแล้ว หลี่ซานจึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
เธอทำงานอยู่เคียงข้างมู่วี่สิงมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว เขามักล้อมรอบไปด้วยแสงออร่าที่แผ่ซ่านออกมาเสมอ ใครบ้างที่จะอดใจไม่ยอมชื่นชมเขาได้กันเล่า
“อืม” มู่วี่สิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเฉยเมย และมองดูประวัติการรักษาที่อยู่ในมืออย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเข้าไปยังภายในห้องผู้ป่วย คนในครอบครัวเอ่ยปากสอบถามมู่วี่สิงในทันที “คุณคือหมอที่ผ่าตัดให้กับลูกชายผมใช่ไหม ทำไมอาการของเขาถึงได้แย่ลงกว่าเมื่อก่อนมากขนาดนี้ล่ะ!”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว “เส้นประสาทสมองของผู้ป่วยได้รับความเสียหายมาเป็นเวลานานเกินไป ถึงแม้ตอนนี้จะดำเนินการผ่าตัดไป ก็สามารถกู้คืนได้มากที่สุดเพียง 80% เท่านั้น อาการแทรกซ้อนร้ายแรงที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ”
“แต่ว่าเขามีอาการปวดหัวหลังจากที่ตื่นขึ้นมา อาการนี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานหลายวันแล้วนะ!”
“อืม ผมสั่งเปลี่ยนยาให้เขาแล้ว ถ้าหากเขายังคงมีอาการแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมจะลองพิจารณาทางเลือกอื่นอีกครั้งหนึ่ง” มู่วี่สิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันจะไม่ยอมให้แกมารักษามั่ว ๆ อีก! ถ้าอาการของลูกชายฉันไม่ดีขึ้นล่ะก็ ฉันจะฟ้องแกให้ถึงที่สุด!” คนในครอบครัวพูดด้วยความโกรธจัด
ใบหน้าของมู่วี่สิงยังคงนิ่งเรียบและไม่ปรากฏอารมณ์ออกมา เมื่อเขาได้ยินดังนั้น เขาก็ทำแต่เพียงดึงริมฝีปากของเขาอย่างเย็นชา “ผมสามารถรอให้คุณมาฟ้องร้องผมเมื่อไรก็ได้ แต่อาการป่วยของลูกชายคุณจะล่าช้าไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว ถ้าหากผมต้องเข้าคุก ดูเหมือนว่าก็คงจะไม่มีใครมีคุณสมบัติพอที่จะรับช่วงต่อจากผมได้”
คนในครอบครัวสั่นเทิ้มไปครู่หนึ่ง แน่นอนว่าทั้งประเทศ C แห่งนี้ไม่มีแพทย์คนไหนที่จะสามารถรักษาลูกชายของเขาได้อีกแล้ว มู่วี่สิงเองก็เป็นแพทย์ที่ย้ายมาจากเมืองหนานเฉิงด้วย ถ้าหากว่าเขาฟ้องร้องมู่วี่สิง แล้วเรื่องลูกชายของเขาจะทำอย่างไรล่ะ……
“คุณหมอมู่ เมื่อครู่นี้ ผมก็แค่พูดจาไร้สาระเท่านั้น…….” สีหน้าของผู้ป่วยเปลี่ยนไปในทันที
มู่วี่สิงไม่ได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ หลังจากทำงานนี้มานานหลายปี เขาคุ้นชินกับเรื่องราวเหล่านี้เข้าเสียแล้ว
เมื่อเข้าไปในห้องทำงาน อานจิ้งก็รายงานอาการของผู้ป่วยในช่วงสองวันนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด
“แล้วแผนกสมองว่ายังไงล่ะ” มู่วี่สิงเอ่ยปากถาม
“ศัลยแพทย์แผนกสมองออกจดหมายร้องเรียนมาครับ โดยมีเนื้อหาของการร้องเรียนว่านายแพทย์มู่ได้ทำการผ่าตัดผิดพลาดในระหว่างดำเนินการผ่าตัดผู้ป่วย ส่งผลให้ร่างกายปัจจุบันของผู้ป่วยเกิดอาการปฏิเสธการรักษาเช่นนี้ขึ้น”
มู่วี่สิงหรี่ตาลง “ขอประวัติการทำงานของศัลยแพทย์คนนั้นให้ผมที ผมอยากได้ฉบับที่เป็นของจริง”
สามชั่วโมงผ่านไป มู่วี่สิงยังคงอยู่ที่ห้องทำงาน ตอนนั้นเป็นเวลาค่ำมากแล้ว หลี่ซานจึงตัดสินใจออกไปซื้ออาหารค่ำมาให้เขา เมื่อเห็นเวินจิ้งกำลังเดินขึ้นมาทางนี้ เธอก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณหมอมู่ยุ่งอยู่ค่ะ”
“เขาต้องทำงานจนถึงกี่โมงคะ” เวินจิ้งถามด้วยความกังวล
“คาดว่าคงจะต้องทำงานทั้งคืนเลยค่ะ คุณหมอมู่มีงานที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก คุณอย่าไปรบกวนเขาจะดีกว่าค่ะ” หลี่ซานพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เมื่อเห็นประตูเปิดอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง เธอก็พบว่ามู่วี่สิงกำลังอ่านกองรายงานการรักษาผู้ป่วยแต่ละรายที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างมุ่งมั่น คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย