บทที่ 1279 แต่งงาน
รอยยิ้มนั้นดูแปลกมาก ราวกับว่าเป็นแรงสั่นสะเทือนจากในหัวใจของตัวเองและปรากฏออกมาบนใบหน้า
ฉินซีไม่สามารถควบคุมรอยยิ้มนี้ได้
โชคดีที่มีผ้าคลุมหน้าที่ทำให้ถังย่าไม่เห็น มิเช่นนั้นเธอจะต้องพูดแซวด้วยน้ำเสียงติดตลกอย่างแน่นอน
เธอรู้สึกเหมือนมีลูกโปร่งอยู่ในหน้าอก ที่ทำให้ทั้งมวลของร่างกายเบาหวิว หากไม่ใช่เพราะชุดหนักๆที่รั้งเธอไว้ เธอรู้สึกราวกับจะลอยขึ้นไปในอากาศและล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า
ทั้งๆที่ไม่ใช่การตั้งงานครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าเธอจะมีงานแต่งที่มีความสุข แต่ฉินซีได้ตระหนักกับตัวเองว่าความสุขของเธอไม่ได้ลดทอนไปด้วยเหตุผลเหล่านี้ ตรงกันข้าม เพราะโอกาสที่ยากจะมาถึง เธอจึงยิ่งหวงแหนมันมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่หัวใจของเธอกำลังล่องลอย สกู๊ตเตอร์ก็ค่อยๆหยุดนิ่ง
มีมือข้างหนึ่ง ยื่นมาตรงหน้าฉินซี
ฉินซีเงยหน้าขึ้น มองผ่านผ้าคลุมหน้า เธอพอจะเห็นรางๆว่าเป็นหลินยี่
“ไปกันเถอะ” มุมปากของหลินยี่เผยให้เห็นรอยยิ้มพลางช่วยประคองฉินซีลงจากรถ
เมื่อฉินซีลงจากรถ เธอก็หันกลับไปหาถังย่า
แต่ถังย่ากลับไม่ได้ลงจากรถด้วย
เธอยังคงนั่งอยู่บนรถ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูสุภาพเหมือนกับหุ่นยนต์ พลางโบกมือให้ฉินซี “ค่อยๆเดิน แล้วอย่าสะดุดล่ะ”
ฉินซีรู้ความหมายของเธอว่าเธอคิดจะนั่งรถไปจากที่นี่
แต่เพราะแรงกระตุ้นที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน ที่ทำให้จู่ๆฉินซีเปลี่ยนใจ เอ่ยปากพูดออกไป “ถังย่า เธออยากจะเป็นเพื่อนเจ้าสาวของฉันไหม”
แม้จะถูกบดบังด้วยชุดแต่งงาน แต่ฉินซีก็พอจะเห็นได้ว่าการแสดงออกของถังย่าหยุดชะงัก
“เธอ” ดูเหมือนว่าถังย่าจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ เธอพูดขึ้นด้วยความลังเล
แต่ฉินซีก็พูดแทรกขึ้นอย่างหนักแน่น “มาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ฉันเถอะนะ”
การแสดงออกของถังย่าเรียกได้ว่าคาดเดาไม่ถูก แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอีกครั้ง
การมองให้ลึกลงไป รอยยิ้มในครั้งนี้ไม่ใช่รอยยิ้มสุภาพที่เธอมักยิ้มอย่างทุกที ความสุขที่อยู่ระหว่างหางคิ้วถึงมุมตานั้น มันไม่ใช่ของปลอม
“ตกลง” ในที่สุดเธอก็พยักหน้าและลงมาจากรถ
ฉินซีหันตัวกลับไปพูดกับหลินยี่ “ไปกันเถอะ”
หลินยี่ไม่เคยติดต่อกับถังย่ามาก่อน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าทำไมฉินซีถึงได้เชิญให้เธอเป็นเพื่อนเจ้าสาว ดูจากปฏิกิริยาของถังย่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าฉินซีไม่เคยปรึกษาเรื่องนี้กับเธอมาก่อน
แต่หลินยี่ก็ไม่คิดจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนคนอื่นไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาเพียงแต่พยักหน้าให้ฉินซีและเดินนำเธอไปยังโถงพิธี
เพราะฉินซีไม่ใช่เวินจิ้ง เธอไม่ใช่น้องสาวของหลินยี่ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้ยื่นมือออกไปจับมือเธอ เขาเดินอยู่ข้างฉินซี ยื่นวงแขนให้เธอจับด้วยท่าทีที่สุภาพ
ถังย่าเดินไปครึ่งก้าว ตามหลังฉินซีเพื่อคอยดูแลชุดให้เธอ
แต่ความสนใจของฉินซีกลับไม่ได้อยู่กับสองคนนี้เลยแม้แต่น้อย
เธอสามารถได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง ทุกก้าวที่เข้าใกล้โบสถ์ มันก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นทีละนิด แทบจะดึงดูดความสนใจของเธอไปจนหมด ทั้งหมดค่อยๆทำให้เธอได้ยินเพียงเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจตนเองดังกึกก้อง
เธอเหยียบรอยต่อของกระเบื้องปูพื้น ทำให้ร่างกายเซจนเกือบจะล้มลง
หากครูที่ฝึกเธอในองค์กรเห็นสิ่งนี้เข้า เกรงว่าจะตกใจกันยกใหญ่
ในความเป็นจริงมันมีเพียงไม่กี่ก้าว แต่ฉินซีกลับรู้สึกว่าตัวเองเดินมานานแล้วเหลือเกิน ประตูโบสถ์ที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น
ในที่สุดเธอก็มาอยู่หน้าประตูโบสถ์ ประตูทั้งสองข้างของโบสถ์ก็ค่อยๆเปิดออก
ความรู้สึกของฉินซีค่อยๆประหม่ามากยิ่งขึ้น
ประตูไม้ของโบสถ์ดูเหมือนจะมีอายุพอสมควร ไม้สีดำที่ดูหนักอึ้ง ทำให้ความเร็วในการเปิดช้าลง
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ประตูเปิดออก ความสนใจของฉินซีก็ฝืนที่จะถูกฉากภายในดึงดูดไม่ได้เลย
ข้างในโบสถ์ดูไม่ต่างจากประตูบานนั้น ข้างในดูเก่าแก่และไม่ได้ดูใหม่เอี่ยม
แต่ความเก่าแก่เช่นนี้ กลับสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศได้มากกว่าสิ่งแปลกใหม่
โดมภายในโบสถ์ยกสูง มีหน้าต่างบานใหญ่ประดับกระจกสีสันทั้งสองด้าน
แสงแดดยามเที่ยงส่องผ่านกระจกเข้ามา ภายในโบสถ์ดูเหมือนมีแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง
ฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เธอได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
เสียงเคาะระฆังที่อยู่ด้านบนสุดของโบสถ์ดังสิบสองครั้ง นั่นคือเวลาแต่งงานที่พวกเขากำหนดไว้
หลินยี่หันไปมองฉินซีพลางกระซิบ “เข้าไปกันเถอะ”
ฉินซีพยักหน้าพลางก้าวเท้าเข้าไปในโบสถ์
ด้านในโบสถ์เงียบสงบและสวยงาม นอกจากพรมที่ดูใหม่เอี่ยมแล้ว สิ่งของอื่นๆดูจะเป็นของเก่าล้ำค่า แม้จะการประดับประดาไปด้วยสิ่งของที่เรียบง่ายไม่สะดุดตา แต่ดูเหมือนจะล้ำค่าในแง่ของดาราศาสตร์
แต่นับตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในโบสถ์ ไม่มีสิ่งอื่นใดเลยในสายตาของฉินซี
สายตาของเธอดูเหมือนจะจับจ้องไปที่ลู่เซิ่นที่ยืนนิ่งอยู่ปลายพรมแดง
โบสถ์มีขนาดใหญ่ ตรงหน้าฉินซีก็มีผ้าคลุมหน้าบดบังอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของลู่เซิ่นได้ แต่เธอกลับรู้สึกอย่างอธิบายไม่ถูก ที่ตัวเธอสามารถรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ตัวเองของลู่เซิ่น หรือแม้แต่สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิในสายตาของเขา
อุณหภูมินี้ทำให้แก้มของเธอเริ่มร้อนผ่าว
พรมแดงใต้ฝ่าเท้าของเธอก็ช่างนุ่ม ทุกก้าวที่ฉินซีเดิน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่บนปุยเมฆและเดินเข้าไปในความฝันของตัวเองทีละก้าวๆ
ทุกสิ่งดูงดงามเหลือเกิน ราวกับว่ามันไม่ใช่ความจริง
แต่ในหัวของเธอคอยย้ำเตือนและบอกกับเธอว่าทั้งหมดนี้ มันคือเรื่องจริง
ไม่มีอะไรจะจริงไปมากกว่านี้แล้ว
ทุกย่างก้าว ใบหน้าของลู่เซิ่นก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉินซีรู้สึกเหมือนว่าเธอไม่เคยเห็นใบหน้าของลู่เซิ่นมาก่อน
เขากำลังจ้องมองตัวเธออย่างไม่ละสายตา
ความรักปรากฏในดวงตาของเขา ใบหน้าเป็นที่น่าอัศจรรย์ ดูเหมือนเขาจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมการแสดงออก และเขียนทุกความรู้สึกในใจลงบนหน้าของตัวเอง
สายตาที่เขามองมายังฉินซีทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นดอกกุหลาบที่งดงามที่สุดและบานสะพรั่ง ที่ควรได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอม
ทั้งโบสถ์ดูว่างเปล่า แต่เมื่อฉินซีเดินเข้าไปทีละก้าว เธอก็พบว่ามีคนสองคนนั่งอยู่ที่แถวแรก
เธอผงะ ใบหน้าเผยให้เห็นความประหลาดใจ ฝีเท้าที่ก้าวเดินเกิดลังเล
เธอไม่รู้ว่าทำไมลู่เหวยและสูหยิงถึงมานั่งที่นี่ได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องที่เธอเป็นใครหรือไม่อีกด้วย
แต่สีหน้าของลู่เซิ่นดูจะมั่นใจเอามากๆ ดังนั้นฉินซีจึงไม่หยุดฝีเท้าและเดินไปหาลู่เซิ่นอย่างช้าๆ
หลังจากสิ้นเสียงระฆังสิบสองครั้ง ฉินซีก็มาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของลู่เซิ่น
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินยี่แตกต่างจากรอยยิ้มปกติของเขา เพราะมันมาจากหัวใจ เป็นรอยยิ้มที่ได้มองเห็นลู่เซิ่นโอบกอดความสุขและความรู้สึกที่ปลื้มปิติ
ลู่เซิ่นยื่นมือออกมาและยกผ้าคลุมของฉินซีออกโดยไม่ลังเล
ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างคนสองคนอีกต่อไป พวกเขาสบตากัน ราวกับว่าน้ำตาลทั้งหมดบนโลกใบนี้จับตัวกันเป็นก้อนอยู่ในสายตาของฝ่ายตรงข้าม แม้แต่อากาศก็ยังหนืดเล็กน้อย
มุมปากของฉินซีค่อยๆโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มส่งไปให้ลู่เซิ่น