บทที่ 1297 ภารกิจ
ฉินซีเข้าใจเช่นกัน
เธอลดตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “นี่ทำไมจ้านเซินถึงซ่อนชื่อของลู่เซิ่น?”
ถังย่าเงียบ แต่การแสดงออกของเธอแสดงให้เห็นทุกอย่างแล้ว
ฉินซีเงียบ
ในงานเลี้ยงนี้ กลุ่มเป้าหมายของเธอไม่ใช่แขกคนสำคัญและไม่ได้เป็นผู้จัดงานด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิทธิ์ซ่อนเขาในรายชื่อแขกเพียงเพราะเธอต้องการพบกับลู่เซิ่น ดังนั้นคนเดียวที่ทำได้คือคนในองค์กร
“ฉันคิดว่าเขาคงไม่ใส่ลู่เซิ่นเสียแล้ว” เสียงของฉินซีเบามาก หากตั้งใจฟังให้ดีจะพบว่ามีความตึงเครียดซ่อนอยู่ในนั้น
“ตอนนี้เขายังคงสนใจที่จะระวังลู่เซิ่น? ”
ถังย่านิ่งไปนิด ส่ายศีรษะก่อนยิ้ม “ฉันขอเดาว่า เขาไม่ได้ระวังเรื่องลู่เซิ่น เขายังไม่เชื่อใจเธอแค่นั้น”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองถังย่า
ฉินซีเข้าใจแล้วว่าถังย่ากำลังหมายถึงอะไร
ในปีที่ผ่านมานี้ จ้านเซินบอกใบ้ถึงความรู้สึกของเขาที่มีเกี่ยวกับฉินซีหลายครั้ง แต่เธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจและหลีกเลี่ยงมัน
“ยังไงก็ตาม ฉันคิดว่าทำแบบนี้ ก็เพื่อที่จะเหลือทางหนีทีไล่ทัน”
หลังจากทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ถังย่าก็เอ่ยขึ้น “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันควรที่จะมีความสุข”
ฉินซีมุ่นคิ้ว “ทำไมถึงพูดแบบนี้?”
เธอคงต้องยอมรับ ถึงแม้จะรู้จักกับจ้านเซินมานาน แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจชายคนนี้
ไม่ว่ายังไง ก็คงไม่เข้าใจเขาเท่าถังย่า
“ตอนที่เธอลงมือ ไม่น่าจะเป็นตอนที่พวกเขากำลังเจรจาธุรกิจกันอยู่” ถังย่าวิเคราะห์ด้วยท่าทีจริงจัง “ดังนั้นเธอจะไม่รู้เลยว่าเป้าหมายจะเจรจากับลู่เซิ่นเมื่อไหร่ เธอกับลู่เซิ่น คงอาจไม่ได้พบกัน”
ฉินซีเงียบ
ที่ถังย่าพูดมันก็ถูก
ตอนที่เจรจากัน มีสายตาจับจ้องอยู่มากมาย
อีกฝ่ายจะดูเอกสารอย่างรัดกุม เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยลดน้อยลง แผนของเธอคือหาโอกาสก่อนจะเจรจา และทำการคัดลอกเอกสาร
วิธีนี้เธอจะไม่ได้พบกับลู่เซิ่นอย่างแน่นอน
“ดังนั้นจ้านเซินจึงต้องทำวิธีนี้ เพื่อที่จะกันไม่ให้เธอได้เจอกับเขา ตอนนี้เธอต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับลู่เซิ่นแล้ว เขาจะได้ไม่เข้มงวดมากนัก ถ้าหากเขายังสนใจเรื่องของลู่เซิ่นอยู่ คงไม่ให้เธอทำภารกิจนี้แน่” น้ำเสียงของถังย่าดูสงบ
ถึงอย่างไรฉินซีก็เป็นคนที่อยู่ในเกม เธอสามารถมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง เรื่องนี้เป็นเพราะเกี่ยวพันกับลู่เซิ่น ก็เลยยังไม่ได้สติ
แต่หลังจากฟังสิ่งที่ถังย่าพูด ฉินซีก็แสดงสีหน้าถึงความเข้าใจทันที ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “จริงๆแล้ว… ”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ… … ” ถังย่าไม่ปล่อยให้เธอพูดจบ พูดขัดขึ้นมา “นิสัยที่หยิ่งผยองของจ้านเซิน การป้องกันเช่นนี้จะป้องกันไม่ให้คุณถูกจับตามองด้วย”
แม้ถังย่าจะพูดไม่ทันจบ แต่เธอก็เข้าใจโดยพลัน
โอกาสที่จะได้ติดต่อกับลู่เซิ่นในระหว่างปฏิบัติภารกิจ จ้านเซินก็ไม่ได้เพิ่มการตรวจสอบอะไร นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่น่าแปลกที่เธอจะต้องดีใจ
ปัญหาเดียวก็คือ … เธอยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลู่เซิ่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอควรทำอย่างไร?
ความยุ่งเหยิงปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของฉินซี
และถังย่าดูเหมือนจะจับความรู้สึกนั้นของฉินซีได้ “ถ้าฉันเป็นลู่เซิ่น ฉันยินดีที่จะแลกเงินจำนวนมากเพื่อมาเจอเธอนะ”
ฉินซีรู้ว่าถังย่าจงใจพูดปลอบเธอ ก่อนจะส่งยิ้มไปให้
ถังย่ามาส่งอาหาร พูดทุกอย่างที่ควรพูด ก่อนจะจากไป
ฉินซีไม่ได้ลุกไปส่ง เธอเพียงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แต่โบกมือลา
ถังย่าเห็นได้ชัดว่าระหว่างคิ้วของฉินซียุ่งเหยิงไปหมด เธอคงคิดหนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เรื่องแบบนี้ … ทำได้เพียงให้ฉินซีดิ้นรนเอง มันยากสำหรับคนที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยแบบเธอไม่ควรไปพูดอะไร
เมื่อประตูหอพักปิดลง ความสับสนก็ปรากฏบนใบหน้าของฉินซีมากขึ้น
นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
หากรับภารกิจ เธอก็จะได้มีโอกาสพบกับเขา แต่การได้รับเอกสารมานั้น หมายความว่าลู่เซิ่นจะเสียผลประโยชน์
หากไม่รับ แน่นอนว่าเธอคงไม่ต้องมีอะไรขัดแย้งกับเขา แต่จะเสียโอกาสที่จะได้พบกับลู่เซิ่นไป
ยิ่งไปกว่านี้ เธอก็ไม่รู้จะอ้างอะไรกับจ้านเซินเหมือนกันถ้าไม่รับภารกิจนี้
แต่ … ถ้าไม่ภารกิจงานนี้คนอื่นจะเอาไป
ฉินซีเม้มริมฝีปาก ก่อนจะตัดสินใจ
เธอต้องไปด้วยตัวเอง
จริงๆถ้ามันไม่ได้ เธอก็จะยอมให้ภารกิจนี้ล้มเหลวไป ถึงแม้จะต้องกลับมารับโทษ ก็ยังดีกว่าเป็นคนที่ทำลายกิจการของลู่เซิ่นด้วยน้ำมือตัวเอง
หลังจากตัดสินใจแล้ว อะไรๆก็ง่ายขึ้นมาก
ความกังวลบนใบหน้าของเธอค่อยๆ หายไป เธอยืนขึ้นบิดขี้เกียจ คิดไว้ว่าจะไปนอนหลับให้สบาย
ในตอนนี้เธอมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง
อีกห้าวันต่อจากนี้ … จะได้พบเจอกับลู่เซิ่น!
เธอต้องคว้าทุกโอกาสเพื่อดูแลตัวเองให้ดี เธอกลัวว่าจะดูไม่สมบูรณ์แบบเมื่อได้อยู่ต่อหน้าเขา
…
ในเวลาเดียวกัน ประเทศ F
ในเวลานี้ การประชุมระดับสูงของตระกูลลู่ได้สิ้นสุดลง
ลู่เซิ่นเดินออกจากห้องประชุม ขยี้หัวตาด้วยความเหนื่อยล้า
หนึ่งปีมานี้ ลู่เซิ่นกลับกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม มีออร่าความเป็นผู้นำกว่าแต่ก่อนมาก
หนึ่งปีที่ผ่านมา ในคืนแต่งงาน เขาซื้อหุ้นของตระกูลลู่จำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าในตลาด จากนั้นจึงจัดการผนวกหุ้นที่อารองและอาสามถือไว้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้นับหุ้นที่ลู่เหวยและสูหยิงมอบมาให้เขา แค่หุ้นของเขาเองก็มีความมั่นคงเพียงพอที่จะได้ตำแหน่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของตระกูลลู่
และในปีเดียวกัน เขาขับไล่พวกที่เข้าครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างที่ขี้เกียจทำงานหนุนหลังโดยอารองและอาสามออกไป และขยายธุรกิจใหม่ๆ พวกด้านอินเทอร์เน็ต บริษัทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มูลค่าบริษัทในตลาดหุ้นก็สูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
เมื่อตระกูลลู่ออกมาจากเมืองหนานที่เป็นที่มั่นของธุรกิจตระกูล ขยายมาพัฒนาที่ประเทศF ภายในประเทศF ตอนแรกถึงจะไม่ใช่บริษัทที่อยู่ในระดับสูงเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ กลายเป็นบริษัทใหญ่ที่ไม่เป็นสองรองใคร
เมื่อเป็นแบบนี้ มีฐานที่มั่นที่เมืองหนาน แถมยังมีประเทศF สนับสนุน อิทธิพลของตระกูลลู่ก็ยิ่งใหญ่ไพศาล ราวกับเป็นสัตว์ร้าย ที่คอยควบคุมชะตาของทรัพยากรต่างๆที่สำคัญ
ความสำเร็จของตระกูลลู่ ภายใต้การกุมบังเหียนของลู่เซิ่นนั้น ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากหันมาเคารพบูชาเขายิ่งกว่าเทพเจ้า แค่ลู่เซิ่นไปออกนิตยสารไหน หรือแม้กระทั่งนิตยสารทางการเงินที่อ่านยาก ก็มักจะถูกเหมาออกไปทั้งแผง
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นไอดอลในดวงใจจากบรรดาผู้ที่ใฝ่หาความมั่งคั่งและความสำเร็จอย่างไม่หยุดยั้ง ความนิยมและฐานะทางการเงินของเขาพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ
แต่มีเพียงคนที่ใกล้ชิดลู่เซิ่นเท่านั้น ที่รู้ว่าความสำเร็จทั้งหมดนี้เกิดมาจากความสิ้นหวังของเขา