บทที่ 1300 แต่งงานแล้วยังไงต่อ
แต่ความคิดของเขาก็สะดุดลง เมื่อรถจอดนิ่ง
เมื่อลู่เซิ่นลงจากรถ ร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย ถ้าไม่ได้สังเกตเลยก็คงไม่เห็น
หัวใจของเขาหนักอึ้ง เมื่อคิดว่าน่าจะเป็นเพราะวันนี้ลู่เซิ่นยุ่งมาทั้งวันและแทบจะไม่มีเวลากิน
แต่เขาก็ทำได้เพียงตามใกล้ชิดลู่เซิ่นเท่านั้น
งานเริ่มมาได้สักพักแล้ว เมื่อลู่เซิ่นเดินเข้ามา ทว่ารูปลักษณ์ของเขาก็ยังคงดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง
แค่ตัวเขาที่เป็นผู้นำตระกูลลู่ก็เป็นจุดสนใจมากพออยู่แล้ว แล้วยิ่งบวกกับความร่ำรวยที่เพิ่มทวีคูณก็ยิ่งเป็นที่จับตามองเข้าไปอีก
ถ้าหากไม่มีงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้วนั้น ทุกครั้งที่ออกงานสังคมก็จะมีผึ้งแมลงมาตามอย่างบ้าคลั่งราวกับเป็นดอกไม้
– แน่นอนว่าแต่งงานแล้วก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เนื่องจากลู่เซิ่นไม่ยอมให้เจ้าสาวแสดงตัวต่อหน้าสาธารณชนในงานแต่งงานและหลังจากงานแต่งงานดูเหมือนเจ้าสาวจะไม่ออกงานสังคมใดๆกับเขาเลย
ตามคำบอกเล่าของลู่เซิ่น ภรรยาของเขาสุขภาพไม่ดีและเดินทางไปพักฟื้นที่ต่างประเทศ
แต่ข่าวซุบซิบก็พัดไปทั่ว อะไรก็พูดไปหมด เช่น พวกเขาสองคนแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ คบกันแค่บังหน้าเท่านั้น
แต่ข่าวพวกนี้ก็มาจากคนที่เคยร่วมงานแต่งงานของลู่เซิ่น ความน่าเชื่อถือยังไม่พอเท่าไหร่
ในที่สุดเมื่อพวกเขาได้ไปเห็นท่าทางของลู่เซิ่นในงานด้วยตัวเอง ความสุขที่ฉายชัดออกมา ถ้าบอกว่าเป็นการเสแสร้ง ก็คงจะเกินไป
แต่ถ้าจะพูดว่าเขารักใคร่กันมาก ก็เอามาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมไม่ปรากฏตัวคู่กับภรรยาเลย หลังจากแต่งกันมานับปี
แต่ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรลู่เซิ่นก็มักจะปรากฏตัวตามลำพังเสมอ ไม่ว่าจะในโอกาสไหนก็ตาม
แบบนี้ พวกสาวๆที่ต้องการเขาก็ยังคงมีความหวัง
เกือบทุกคนภายในห้องจัดเลี้ยงหันไปมองลู่เซิ่น พวกเขาต้องการที่จะพูดคุยทักทาย
พวกนักธุรกิจอยากจะใช้โอกาสนี้ในการแนะนำตัวเอง ได้รู้จักเขา และพูดคุยเรื่องธุรกิจ ส่วนผู้หญิง โดยเฉพาะที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็กระตือรือร้นอยากเข้าหา
ถึงอย่างไรตอนนี้ข้างกายลู่เซิ่นก็ยังไม่มีใคร แต่งงานแล้วมันจะทำไม?
นั่นเป็นเหตุผลที่ลู่เซิ่นเดินเข้าไปข้างในเพียงไม่กี่ก้าว และถูกหยุดไว้ด้วยแก้วไวน์
เมื่อลู่เซิ่นอยู่ในตำแหน่งนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะยกแก้วไวน์ขึ้นเพื่อจะรักษาหน้า ถ้าทำอีกฝ่ายก็คงจะพูดร่ายยาวแน่ เขาทำเพียงพยักหน้าให้เบาๆ ไม่ได้ยกแก้วไวน์ขึ้น ก่อนจะเดินหลบไปอีกทาง
หลังจากถูกหยุดอยู่สามครั้ง ครั้งนี้เป็นประธานผู้จัดงาน ประธานแห่งบริษัทหวังซื่อที่เข้ามาจับมือกับลู่เซิ่นด้วยความจริงใจ “ผมไม่ทันมองครับ ประธานลู่ เชิญทางนี้ครับ”
ประธานหวังอายุไล่เลี่ยกับลู่เหวย จริงๆแล้วลู่เซิ่นอายุน้อยกว่าเขาครึ่งหนึ่ง ทว่าประธานหวังกับปฏิบัติกับเขาด้วยความเคารพ
และลู่เซิ่นก็ตอบรับแบบเป็นธรรมชาติ
ประธานหวังเริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง และงานของเขาเชื่อมโยงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลลู่
เมื่อเขาพาลู่เซิ่นเข้ามาในเลานจ์ ประธานหวังก็เดินไปหาลู่เซิ่นพร้อมกับไวน์หนึ่งแก้ว ก่อนขอโทษ “คืนนี้แขกมาเยอะมากเลยครับ เลยวุ่นวายไปนิด”
ลู่เซินยิ้มบาง เขายังคงเห็นแก่หน้าของประธานหวังจึงจิบไวน์ไปนิด ก่อนจะวางแก้วลงอีกฝั่ง
ประธานหวังยิ้ม พลางวางแก้วในมือของตัวเอง ก่อนนั่งลงบ้าง “”
“เรื่องของเหล่าจ้าว มันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว” เขาถอนหายใจและเอื้อมมือไปยื่นบุหรี่ให้หลู่เซินโดยไม่รู้ตัว ทว่ายังไม่ทันส่ง พลางนึกขึ้นได้ว่าลู่เซิ่นไม่สูบบุหรี่ ลังเลว่าควรนำบุหรี่กลับมาหรือไม่
โดยไม่ทันคาดคิด ลู่เซิ่นกลับหยิบบุหรี่จากเขาก่อนจะจุดไฟอย่างชำนาญด้วยสีหน้าสงบ
ประธานหวังมองดูควันที่เขาพ่นออกมา ก่อนจะแปลกใจ
ลู่เซิ่นเคยมีชื่อเสียงในเรื่องการไม่สูบบุหรี่เมื่อเขาจะปรากฏตัว ทุกคนจะพยายามดับควันเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นที่อาจจะไปรบกวนเขา
แต่ดูท่าทางที่ดูชำนาญของเขาตอนนี้ ไม่น่าจะเพิ่งเริ่มสูบ
– นี่คงจะเป็นเรื่องปกติ ประธานหวังคิดในใจ
ความสนใจของเขาจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดต่อในสิ่งที่ค้างไว้ก่อนห้า “ตอนแรกไม่มีใครคิดว่าเขาจะจากไปอย่างกะทันหัน”
ลู่เซินพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบ
เหล่าจ้าวที่ประธานหวังพูดถึง ครั้งหนึ่งเคยเป็นอดีตหุ้นส่วนของเขา
สาเหตุที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น เพราะว่า… เขาดันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์หลังจากที่เขามางานแต่งงานของลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นไม่เคยบอกใคร แต่เขามีสัญชาตญาณว่า การตายของเหล่าจ้าวน่าจะเกี่ยวข้องกับองค์กรของฉินซี
เขาจำได้แม่น ว่าวันนั้นฉินซีได้มาเป็นเพราะภารกิจขององค์กร
เธอไม่ได้บอกเขาว่างานคืออะไร แต่เมื่อเธอหายไป ก็เกิดอุบัติเหตุกับเหล่าจ้าว นี่มันบังเอิญเกินไป มันคงยากถ้าเขาจะไม่สงสัย
เหล่าจ้าวคนนี้ ไม่ใช่คนดีอะไร และเขาก็ไม่ได้สนใจกับการจากไป
แน่นอนว่าประธานหวังก็ไม่ใช่คนที่ใจดีและมีเมตตา เขากล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง “ผมได้ยินมาว่า เมื่อเหล่าจ้าวจากไป พวกคุณตระกูลลู่ก็ยังคงทำธุรกิจร่วมกับพวกเขาอีก?”
ลู่เซิ่นพยักหน้าเบาๆ “สัญญายังอยู่ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ แม้จะเกิดเหตุการณ์กับประธาน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะยุติ”
ความยุ่งเหยิงปรากฏบนใบหน้าของเหล่าหวัง
เมื่อลู่เซิ่นพูดประโยคนี้ก็ดูเหมือนตัวเขาเองทำเรื่องสูงส่งเหลือคณา ถ้าไม่รู้จักลู่เซิ่นมาก่อนก็คงไม่รู้ว่าวิธีการของเขามักจะโหดร้าย เกือบจะถูกประโยคนี้หลอกเสียแล้ว
“นี่ก็หนึ่งปีมาแล้ว สัญญา ใกล้จะหมดแล้วใช่ไหมครับ?” ประธานหวังถามอย่างระมัดระวัง
ไม่รู้ว่ามีผู้สร้างกี่รายที่ต้องการร่วมมือกับบริษัทลู่ซื่อ เพียงเพราะโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ของบริษัทลู่ซื่อ ต้องมีคนแย่งกันนองเลือดแน่นอน
โครงการก่อนหน้านี้ของบริษัทลู่ซื่อได้รับการจัดสรรผ่านการประมูล บริษัทหวังซื่อไม่ใช่องค์กรขนาดใหญ่และไม่สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ เขาสนใจเฉพาะส่วนแบ่งที่เหล่าจ้าวทิ้งไว้หลังจากเขาเสียชีวิต
ตราบใดที่ยังเป็นโครงการของบริษัทลู่ซื่อ ถึงแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถทำเงินได้มากมาย
ที่เขาเชิญลู่เซิ่นมาวันนี้ ก็เพื่อที่จะอยากทราบข้อมูลราคาของการประมูล
ลู่เซินมองไปที่แววตาของเขา ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจถึงเบื่อหน่าย
พวกประจบสอพลอ อยากรู้อยากเห็น หวังจะได้อะไรจากเขา เห็นได้เยอะมากในปีนี้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ ว่าสรรพสัตว์ทั้งหมดในโลกล้วนทำเพื่อผลกำไร
แต่ถ้ามันมากไปแบบนี้ มันก็เบื่อเป็นธรรมดา
ในเวลานี้ ความคิดถึงที่มีต่อฉินซีก็ยิ่งลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ครั้งล่าสุดที่เราพบกัน มันนานแค่ไหนแล้ว… ?
ลู่เซิ่นใจลอยอย่างตรง