บทที่ 1303 กลืนกินไปทั้งตัว
หลังจากรอมานาน การจูบของลู่เซิ่นก็ค่อยคลายออกจากริมฝีปากของฉินซี
แต่ร่างกายของทั้งสองคนยังแนบแน่นกันอยู่ ดังนั้นฉินซีจึงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายลู่เซิ่นได้อย่างชัดเจน
เธอยิ้มอย่างมีเสน่ห์ พูดข้างหูลู่เซิ่นว่า : “…คิดถึงฉันขนาดนั้นเลย?”
ลู่เซิ่นมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเธอ มันเขี้ยว อยากจะกลืนกินเธอไปทั้งตัวทันที
แต่เขาก็รู้ว่า ที่ฉินซีมีความกล้ามั่นใจแบบนี้เพราะเชื่อมั่นในตัวเขาทั้งสิ้น
เขาเองก็ไม่สามารถทำลายความเชื่อมั่นเหล่านี้ได้
ดังนั้นถึงแม้ในใจจะมีความคิดมากมายหลายร้อยความคิด มือก็ยังคงลูบสะโพกฉินซีอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
แน่นอนฉินซีรู้ความหมายของการกระทำนี้ของเขา และทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเธอดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น แกล้งทำเป็นผลักลู่เซิ่นออก เธอมองไปรอบห้องและพูดอย่างกระซิบว่า : “ประธานลู่ ห้องนี้ใหญ่มาก ฉันขอพักที่นี่สักสองสามวันได้ไหม?”
ลู่เซิ่นยิ้ม เหล่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ : “ทำไม ที่นี่ฉันไม่ได้ให้ใครพักง่ายๆ น่ะ อย่าคิดจะมาอยู่ฟรีกินฟรี”
ฉินซีวางกระเป๋าเดินทางในมือลง หมุนตัวและกะพริบตาปริบๆ ไปที่ลู่เซิ่น : “งั้น ไม่ทราบว่าประธานลู่ขาดเตียงอุ่นๆ ไหม?”
ลู่เซิ่นอดหัวเราะไม่ได้และรีบปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว แกล้งทำเป็นมองสังเกตฉินซีสักครู่ และกล่าวว่า : “ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่ต้องการ แต่ในเมื่อเป็นคุณ…ฉันก็จะฝืนรับไว้แล้วกัน”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ทั้งสองคนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ลู่เซิ่นรู้สึกว่าอารมณ์แบบเด็กที่เขาเก็บเอาไว้ในอกตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ค่อยๆ สลายไปพร้อมกับรอยยิ้มบ้างแล้ว
ฉินซีหัวเราะพอแล้ว จึงยืดตัวขึ้น : “ฉันไปทำงานก่อนน่ะ จะรีบกลับมา”
ลู่เซิ่นพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไร และเพียงแค่ยื่นคีย์การ์ดห้องพักให้ : “เดี๋ยวเปิดเข้ามาได้เลย”
ฉินซีหัวเราะรับไว้มองมัน และอยากจะหยอกล้ออีกครั้ง : “คุณไม่กลัวฉันเอาคีย์การ์ดให้คนอื่นหรือไง? เตียงประธานลู่ ไม่รู้มีว่าอีกใครอยากจะปีนขึ้นไปบ้าง”
แวบเดียว ลู่เซิ่นก็ดูออกทันทีว่าเธอหมายถึงอะไร จึงยื่นมือออกจับคางเธอ และประทับรอยจูบอีกครั้ง : “ต่อให้มีคนอยากขึ้นมามากแค่ไหน เตียงของฉันก็มีแต่ที่ของคุณ”
ฉินซียิ้มออกมาเพราะประโยคนี้ แต่เธอก็ไม่รอช้าและออกไปทันที
ทุกภารกิจขององค์กรจะไม่ทำอย่างโดดเดี่ยว ก่อนที่ฉินซีจะออกมาทำภารกิจครั้งนี้ด้วยตัวเอง จะมีคนมาเตรียมงานไว้ให้เธอบนเรือสำราญนี้ก่อนเรียบร้อยแล้ว
องค์กรได้แทรกแซงคนเข้ามาในกลุ่มพ่อครัวและบริกรก่อนแล้ว ให้ฉินซีทำคนเดียว จะไม่ค่อยสะดวกสบาย ต้องการความเหลือจากพวกเขา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพูดคุยกับพวกเขาก่อน
แต่การจัดการครั้งนี้ของฉินซีไม่มีอะไรวุ่นวาย ดังนั้นพูดกันแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว
เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ทางเดินเขาห้องชุดจะไม่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด นอกจากจะมีการเรียก ไม่เช่นนั้นบริกรก็ไม่สามารถเข้าไปได้
การจัดการแบบนี้สามารถรับรองได้ว่าการเคลื่อนไหวของฉินซีจะไม่ถูกสังเกตการณ์โดยคนขององค์กร
เดิมทีเธอจัดการจองห้องชุดไว้ให้ตัวเอง คนที่องค์กรส่งออกมาครั้งนี้ นอกจากเธอแล้ว ก็ไปทำหน้าที่บริกรกันหมด ไม่สามารถมาที่ห้องรับรองชั้นหนึ่งได้ จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเธอพักที่ห้องไหน
และเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้ตัวเอง ฉินซีได้จัดการจองห้องที่อยู่ตรงข้ามกับลู่เซิ่นให้ตัวเอง
แบบนี้ โอกาสที่จะโดนจับได้ก็จะน้อยลง
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันกับลู่เซิ่นได้สักที
ฉินซีคิดอย่างนี้ ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ เปิดประตูห้องลู่เซิ่น
ในสายตามีแต่ความมืดสนิท
ปิดไฟแล้ว?
สัญชาตญาณของฉินซีกระชับแน่นขึ้น
หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เธอตัดสินใจกลั้นหายใจ ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไป มีมือคู่หนึ่งยื่นมาปิดปากเธอไว้จากด้านหลังกะทันหัน
เธอแทบจะเตรียมตัวจะต่อสู้ในทันที เธอกำหมัดเตรียมไว้แล้ว แค่รอให้ฝ่ายตรงข้ามพลาดเธอจะสู้กลับทันที
แต่วินาทีต่อมา เธอรู้สึกถึงความคุ้นเคยของลมหายใจที่อยู่ด้านหลัง
สองมือของฉินซีแทบจะโล่งใจในทันที
เธอทรุดไหล่ลงและพูดอย่างทำอะไรไม่ถูก : “ลู่เซิ่น!”
เกมน้อยๆ ของลู่เซิ่นถูกจับได้แล้ว ยังไม่ละอายใจ ยิ้มพลางเปิดไฟ : “ทำไมรู้เร็วขนาดนี้ล่ะ? ฉันยังอยากจะลองดูหน่อยว่าทักษะ
คุณเป็นยังไงบ้าง”
ฉินซีที่ถูกทำให้ตกใจ ใจยังทำอะไรไม่ถูก ได้ยินลู่เซิ่นพูดแบบนี้ จึงยิ้มเย็นชาออกมา : “ทักษะหรือ…ยังไงก็ไม่แย่ไปกว่าคุณ!”
พูดพลางรีบแตะไปที่หน้าแข้งของลู่เซิ่นอย่างรวดเร็วราวฟ้าแลบ
แน่นอนลู่เซิ่นไม่คิดว่าเธอจะสู้กลับ หลบไม่ทัน ทำให้ถูกแตะไปเต็มๆ
กระดูกที่หน้าแข้ง ปกติมนุษย์แทบจะไม่มีการป้องกันอะไรเลย โดนโจมตีอย่างนี้ ลู่เซิ่นเกือบจะทรุดลงไปนอนขดอยู่บนในทันที
ฉินซีรู้สึกได้รับชัยชนะในตอนแรก : “ฉันบอกแล้วไง! ตอนนี้ทักษะของฉันไม่แย่ไปกว่าคุณ!”
ใช่ว่าเธอจะภูมิใจโดยไม่มีเหตุผล ลู่เซิ่นในฐานะลูกหลานตระกูลลู่ เรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ยังเคยไปฝึกในค่ายทหารมาเป็นเวลาไม่น้อย ไม่ว่าเป็นสมรรถภาพทางร่างกาย หรือว่าทักษะการต่อสู้ ก็อยู่ในกลุ่มที่ดีทั้งนั้น
ฉินซีสามารถโจมตีเขาได้ แน่นอนว่าต้องภูมิใจ
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ตอบเธอ ผ่านไปหลายวินาทีแล้ว ยังคงนอนขดอยู่บนพื้น
ฉินซีรออยู่นานก็ไม่ได้รับการตอบกลับ เห็นลู่เซิ่นท่าทางเจ็บอย่างยิ่ง จึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
…หรือว่าฉันจะเตะแรงไปหรือเปล่า?
ไม่ใช่สิ!
ฉันไม่ได้ฉันแรงขนาดนั้น
แต่…ทำไมเขาดูเจ็บขนาดนั้น?
เวลาผ่านไปอีกหลายวินาที ลู่เซิ่นยังคงไม่ขยับ ฉินซีเริ่มสงสัย อดคุกเข่าลงไปไม่ได้ : “คุณ…ไม่เป็นไรใช่ไหม? ฉันไม่น่าจะใช้แรงกับคุณขนาดนั้นน่ะ ถ้าคุณไม่จู่โจมฉันจากด้านหลัง ฉันก็คงไม่โจมตีคุณแบบนี้น่ะ…”
ลู่เซิ่นยังคงไม่ปฏิกิริยาตอบกลับ ยังคงซุกหน้าไว้ระหว่างเขา ทำให้มองสีหน้าไม่ออก
ใจของฉินซีลุกลี้ลุกลนมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่น่ะ กลับมาเจอกันไม่ง่ายเลย มีความสุขกับวันหยุดได้ไม่กี่วัน ตัวเองเตะเขาจนได้รับบาดเจ็บ น่าตลกไปแล้ว
ฉินซีรู้สึกผิด น้ำเสียงค่อยๆ อ่อนลง ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ลู่เซิ่น : “ให้ฉันดูหน่อยได้ไหม? ถ้าเป็นอะไร…”
เธอพูดไม่ทันจบ ก็ถูกลู่เซิ่นกดทับลงบนพื้นอย่างโดยกะทันหัน
ดีหน่อยที่บนพื้นปูพรมหนาๆ ไว้ ลู่เซิ่นใช้มือของตัวเองประคองท้ายทอยของฉินซีไว้ เธอไม่ได้โดนลู่เซิ่นทำให้ตกใจอย่างกะทันหันจนหน้ามืดตาลาย
เงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มตลกร้ายบนใบหน้าของลู่เซิ่น ฉินซีเข้าใจทุกอย่างแล้ว
ความกังวลทั้งหมดเมื่อกี้กลายเป็นความอับอาย ฉินซีอดที่จะเอื้อมมือไปทุบลู่เซิ่นไม่ได้ : “ฉันยังคิดว่าเตะคุณจนคุณเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก!”
ลู่เซิ่นและปล่อยให้เธอโวยวาย ไม่นานเขาก็กุมหมัดของฉินซีไว้ โน้มตัวลงไปจูบ : “เชื่อใจสามีคุณเถอะ ไม่มีทางโดนเตะเบาๆ แค่นี้ของคุณทำให้ล้มลงได้หรอก”