บทที่ 1604 ฮันนีมูน
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นตามการจูบของลู่เซิ่น
เป้าหมายของฉินซี ก็คือคนนั้นที่จะคุยธุรกิจกับลู่เซิ่น พรุ่งนี้ถึงจะขึ้นเรือ ดังนั้นคืนนี้สำหรับเขาทั้งสองคนแล้ว เป็นคืนที่ใช้พักผ่อนตั้งแต่ต้นจนจบ
สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันและต้องแยกกันมานานได้มาพบกันอีกครั้ง จะทำอะไรได้ในวันวันพักผ่อน?
ก็คงทำได้แค่ทำอะไรกันสักอย่าง
เมื่อริมฝีปากของลู่เซิ่นย้ายออกจากมือของฉินซี แววตาก็เปลี่ยนเป็นลึกลับขึ้นมานิดหน่อย
ฉินซีนอนอยู่บนพื้น เงยหน้ามองรอยยิ้มที่เผยให้เห็นความอันตรายเล็กของลู่เซิ่น สีหน้าก็เปลี่ยนตามไปด้วย
เธอหลับตาลง ยกหัวขึ้นกะทันหัน และกัดริมฝีปากของลู่เซิ่นเบาๆ
ทันใดนั้นแววตาของลู่เซิ่นเปลี่ยนเป็นลึกลับยิ่งขึ้น
“สงสัย…จะทนไม่ไหว ไม่ห้ามฉันเลย” ลู่เซิ่นกระซิบหยอกล้อที่ข้างหูฉินซี
เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร รู้สึกตัวเบาและพบว่าตัวเองถูกลู่เซิ่นอุ้มขึ้นมาแล้ว
“ในเมื่อรอไม่ไหว งั้นพวกเราก็ไม่มีใครต้องแล้วสิน่ะ”
น้ำเสียงของลู่เซิ่นฟังดูง่ายดาย แต่การก้าวเดินอย่างเร่งรีบของเขาทำให้รู้ความคิดเขา
ประตูห้องนอนถูกปิดลง และเสียงหอบหายใจเบาๆ เริ่มดังขึ้น จนกระทั่งค่ำมืดดึกดื่น
……
เช้าวันที่สอง ฉินซีถูกปลุกขึ้นเพราะแสงแดดที่สาดเข้ามาที่ใบหน้า
ผ้าม่านไม่ได้ปิดสนิท แสงแดดส่องเข้ามาจากช่องว่างลงบนเปลือกตาของเธอพอดี
เธอขยับตัว รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ห่างหายไปนาน
พูดถึงสมรรถภาพร่างกายของฉินซีในตอนนี้แล้ว กิจกรรมแบบนี้ไม่ถือว่ามีอะไรเลย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องพักอยู่บนเตียงครึ่งค่อนวันไม่ขยับตัวเลย
แต่ความเจ็บปวดนี้ไม่เหมือนกับความเจ็บปวดที่เกิดจากออกกำลังกายในปกติ
อะไรที่ไม่เหมือนกันนั้น…ฉินซีก็บอกไม่ได้
อาจจะเป็น…ผลทางจิตวิทยา?
แต่เธอไม่ทันได้คิดอะไรเยอะ อ้อมกอดที่อยู่ด้านหลังกระชับแน่นขึ้น ลู่เซิ่นซุกหัวไว้ที่ข้างคอเธอ และพูดอู้อี้ว่า : “ตื่นแล้ว?”
ทั้งสองคนเปลือยกายอยู่ใต้ผ้าห่ม ดังนั้นระหว่างลู่เซิ่นหายใจลมหายใจทั้งหมดถูกพ่นมาที่ผิวหนังบริเวณคอของฉินซี ทำให้เธออดที่จะขดตัวไม่ได้
แต่ลู่เซิ่นสังเกตได้ถึงการขยับตัวของเธออย่างชัดเจน เขาเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือพยุงร่างกายท่อนบนของตัวให้ขยับเข้าใกล้และมองดูฉินซี : “กลัวฉัน?”
ฉินซียื่นมือไปดันหน้าอกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้าใกล้มากขึ้นอีก
แต่ไม่รอให้เธอพูดอะไร ดวงตาของฉินซีก็เบิกกว้างขึ้น
“คุณ…”
ลู่เซิ่นต้องรู้แน่นอน เธอรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
“โทษฉันไม่ได้” ลู่เซิ่นเลียเขี้ยวตัวเอง รอยยิ้มปรากฏความร้ายกาจน้อยๆ “จะโทษก็โทษคุณที่ยั่วยวนเกินไปแล้ว”
พูดจบไม่รอการตอบสนองของฉินซี ก็ประคองหน้าเธอไว้และเริ่มจูบอีกครั้ง
……
รอจนกระทั่งลู่เซิ่นและฉินซีจัดระเบียบเสื้อผ้าเสร็จ เดินออกมาจากห้อง ก็เป็นเวลาชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นแล้ว
แววตาของฉินซีมีความโกรธเล็กน้อย
…ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว
แต่เธอก็ไม่สามารถตำหนิอะไรลู่เซิ่นได้ ในเมื่อเรื่องนี้ถ้าไม่ใช่ทั้งสองฝ่ายยินดีร่วมกัน ก็ไม่สามารถสานสัมพันธ์กันได้แบบนี้
รอยยิ้มของลู่เซิ่นมีความรู้สึกพึงพอใจ เหมือนคนที่หิวมานานมากในที่สุดก็ได้กินอิ่มท้อง เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อให้ฉินซีผูกเนกไทได้สะดวก พลางเอ่ยปากถาม : “อยากกินอะไร ฉันจะให้คนมาส่งที่ห้อง”
ฉินซีไม่เคยชินกับการผูกเนกไท ดังนั้นตอนนั้นจึงตั้งใจเป็นอย่างมาก และพูดลอยไปว่า : “ได้หมด ฉันชอบกินอะไร ใช่ว่าคุณไม่รู้”
พูดจบ ในที่สุดก็ผูกเนกไทเสร็จ เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวเล็กๆ มองสำรวจสักพักให้แน่ใจว่าตัวเองผูกได้ไม่มีปัญหาอะไร และพยักหน้าเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง
เมื่อเงยหน้าขึ้น เห็นแววตาอมยิ้มของลู่เซิ่น
“ยิ้มอะไร!” ฉินซีเข้าใจว่าเขากำลังหัวเราะเยาะท่าทางของเธอ จึงทำเป็นแกล้งดุ
ลู่เซิ่นแค่ยิ้มและขยับเข้าใกล้เธอ จูบลงบนหน้าผากเธอ และพูดเบาๆ ว่า : “ตอนนี้ฉันรู้สึก…ว่าพวกเราเป็นคู่แต่งงานใหม่ขึ้นมากะทันหัน”
ฉินซีแววตาวิบวับ ลดน้ำเสียงลง : “…เพราะฉัน”
เธอคิดมาหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเธออายุยังน้อย ไม่รู้เรื่องอะไรและไปเข้าร่วมกับองค์กร ตอนนี้คงไม่เป็นแบบนี้
“ไม่ใช่ความผิดคุณ” ดูเหมือนลู่เซิ่นจะอ่านความคิดเธอได้ ประคองหน้าเธอไว้และพูดเบาๆ ว่า : “ถ้าคุณไม่ได้เข้าร่วมกับองค์กร ฉันก็จะไม่เจอคุณ และก็จะไม่มีรักแรกพบกับคุณ”
ฉินซีรู้ว่าเขากำลังปลอบตนเอง จึงพยายามยิ้มออกมา ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่อารมณ์ที่ไม่ดี
“โอเค สามวันนี้ถือว่าชดเชยฮันนีมูนเถอะ” ลู่เซิ่นกล่าวยิ้มๆ “งานแต่งมีแล้ว แหวนแต่งงานมีแล้ว ฮันนีมูนก็ต้องมี”
ฉินซียิ้มน้อยๆ : “สามวันก็ถือว่าฮันนีมูนแล้วหรือ?”
ลู่เซิ่นหันมองเธอ แววตาเต็มไปด้วยความจริงจัง : “รอให้มีโอกาสก่อน พวกเราจะไปฮันนีมูนกับสักครั้ง”
ฉินซีดูออกว่าเขาจริงจัง ก็อดที่จะรู้สึกเศร้าไม่ได้
หลังจากนี้…คือเมื่อไหร่กัน?
…ไม่คิดแล้ว!
ฉินซีส่ายหน้าสะบัดหัวตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองตกลงไปอยู่กับอารมณ์เชิงลบอีก
อาหารเช้าที่ลู่เซิ่นสั่งไว้ใกล้มาส่งแล้ว
ถึงแม้ว่าถ้าตามเวลาแล้ว จะเรียกว่าอาหารเช้าไม่ได้แล้วก็ตาม
ฉินซีก้มหน้ามอง อดยิ้มออกมาไม่ได้ : “อยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนคุณก็กินแบบนี้ไม่ใช่หรือไง? ทำไมมาถึงนี่แล้วยังกินแบบนี้อีก? ไม่เปลี่ยนรสหน่อยหรือ”
ลู่เซิ่นยิ้ม ไม่ได้อธิบายให้เธอฟังว่าหลายวันมานี้กระเพาะเขามีปัญหา กินได้แค่แบบนี้ ทำได้แค่ยื่นตะเกียบเข้าไปในมือเธอ : “กินไป! ไม่ต้องพูดแล้ว!”
ลู่เซิ่นสั่งขนมสำหรับชายามเช้ามาไม่น้อย เมื่อคืนฉินซีไม่ค่อยได้กินอะไร และยัง “ออกกำลังกาย” นานพอสมควร ขณะที่กำลังหิวอยู่นั้น ค่อยๆ ชิมไปทีละอย่าง แววตาก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
“อร่อย!” ฉินซีคีบเกี๊ยวกุ้งขึ้นมา วางลงบนจานของลู่เซิ่น “พ่อครัวที่นี่ฝีมือดีมากๆ เลยล่ะ!”
ลู่เซิ่นจงใจจับผิด : “ทำอร่อยกว่าพ่อครัวของรีสอร์ทชิงหยวนอีกหรือไง?”
ฉินซีเม้มปาก : “รสชาติอาหารที่บ้านดีที่สุดอยู่แล้ว”
เมื่อเธอตอบคำถามออกมา ทั้งสองคนต่างตะลึง
ฉินซีก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดว่า “บ้าน” ได้อย่างสะดวกปากขนาดนี้ ลู่เซิ่นประหลาดใจยิ่งกว่า
แต่ความประหลาดใจของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นความสุขได้อย่างรวดเร็ว
“อืม” เขาพยักหน้า และยื่นมือไปคีบเกี๊ยวกุ้งที่ฉินซีส่งมา “แน่นอนของที่บ้านต้องดีที่สุดอยู่แล้ว”
สองคนมองหน้าและยิ้มให้กันโดยไม่มีใครพูดอะไร แต่บรรยากาศกลับอบอุ่นอย่างน่าแปลกใจ
อาหารเช้าและเที่ยงรวมกันหนึ่งมื้อ สองคนทานอาหารอย่างไม่รีบร้อน หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงหัวข้อสนทนาที่หนักหนา พูดคุยกันไปเรื่อยๆ เมื่อจ้องตากันอย่างกะทันหัน ก็หัวเราะกันออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
แสงแดดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ส่องกระทบใบหน้าด้านข้างของลู่เซิ่นแปร่งประกาย เผยรอยยิ้มอบอุ่น
ฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในภวังค์ของภาพนี้
ช่างเป็นเหมือนการฮันนีมูนสำหรับพวกเขาทั้งสองคน