บทที่ 1305 เจอหลินหยังไม่เป็นไร
น่าเสียดายที่ความรู้สึกนี้มีได้ไม่นาน ก็ถูกขัดด้วยเสียงกระดิ่งประตู
กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของฉินซีตื่นเต้นขึ้นมา แทบจะลุกขึ้นในทันที
แต่มือของเธอกลับโดนลู่เซิ่นดึงไว้
“มีคนมา” ฉินซีขมวดคิ้วมองลู่เซิ่น
ตัวตนของเธอ ความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เซิ่น ทำไมเธอถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ สำหรับคนอื่น นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้วเป็นความลับที่ไม่สามารถพูดถึงได้
เพราะฉะนั้นวิธีการจัดการที่ดีที่สุด ก็คือการไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่น
แต่แรงที่ลู่เซิ่นตั้งใจส่งออกมาจากมือเขานั่นนั้นมุ่งมั่นมากจริงๆ
“เป็นหลินหยัง” ลู่เซิ่นเงยหน้ามองเธอ “ไม่ต้องหลบหลินหยัง สามารถเขาเชื่อถือได้”
คิ้วของฉินซียังคงขมวดกันอยู่ แต่จากแววตาของลู่เซิ่นแล้ว เธอก็เข้าใจเจตนาของลู่เซิ่นเช่นกัน
หนึ่งปีมานี้ ก่อนจะเจอหน้ากันครั้งนี้ ลู่เซิ่นและฉินซีใช้เวลาด้วยกันน้อยมาก เหมือนจะมีแค่หนึ่งคืนหรือช่วงเวลาสั้นๆ ตอนกลางวัน
ภายในระยะเวลาสั้นๆ หลบจากสายตาคนอื่นนั้นง่ายมาก
แต่ต่อจากนี้ ถ้าพวกเขาต้องล่องเรือสามวันในหนึ่งอาทิตย์อย่างนี้
ปิดบังหลินหยังใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่นั่นหมายความว่าลู่เซิ่นและฉินซีต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากตลอดเวลา ในเมื่อหลินหยังเป็นผู้ช่วยที่อยู่ในระดับสูงของลู่เซิ่นแล้วด้วย เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งวันจะอยู่ตัวลู่เซิ่น
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ลู่เซิ่นต้องการ
เดิมทีเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันก็ไม่ง่ายแล้ว ยังต้องคิดหาวิธีจะหลบคนอื่นยังไงอีก ช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว
ตั้งแต่ไหนแต่ไรลู่เซิ่นไม่เคยทำตัวน่าสงสาร
ลังเลอยู่ไม่นาน ฉินซีค่อยๆ นั่งลง
เธอไม่ได้พูดอะไร แต่การกระทำของเธออธิบายทั้งหมดแล้ว
ตอนนั้นใบหน้าของลู่เซิ่นค่อยเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ เขาพูดส่งเสียงไปทางประตู : “เข้ามา”
เสียงสิ้นสุดลง ประตูค่อยถูกเปิดเข้ามา
หน้าของหลินหยังค่อยโผล่เข้ามา
จากทิศทางของฉินซี สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกหลินหยังได้อย่างชัดเจน
ตอนแรก การแสดงออกของเขาเหมือนปกติไม่เปลี่ยนไปเลย เป็นความเฉยเมยแบบนั้นที่ฉินซีคุ้นเคย
แต่เมื่อสายตาของเขาสบตาเข้ากับตนเอง ตาของเขาค่อยเบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน
สายตาคมของฉินซี เห็นเขามือซ้ายของเขายื่นออกมาตีลงที่น่องของตัวเอง
เดิมทีเธอลังเลนิดหน่อยที่จะต้องเจอกับคนที่ข้างตัวลู่เซิ่นอีกครั้ง แต่เห็นการแสดงออกของหลินหยังอย่างนี้แล้ว ความตื่นเต้นน้อยๆ ในใจเธอค่อยๆ สลายหายไป จนกระทั่งอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ฉิน…” ท่าทางไม่อยากจะเชื่อของหลินหยัง ปากที่ไม่กล้าพูดชื่อของฉินซีออกมา
ดีหน่อยที่ลู่เซิ่นส่งเสียงดังออกไปขัดจังหวะเขา : “เข้ามาก่อนค่อยพูด”
หลินหยังที่เหมือนเรียกสติกลับมาได้ด้วยคำพูดของเขา สีหน้าสงบลงเล็กน้อย เดินเข้ามาในประตูและหันกลับไปปิดประตูให้เรียบร้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ฉินซี ก็แทบจะดุไม่เลยว่ามีอะไรผิดปกติ
เขาเดินทางหาลู่เซิ่นอย่างลังเล : “ลู่…ประธานลู่…”
หลินหยังอยู่กับลู่เซิ่นมาหลายปีแล้ว ผ่านเรื่องน้อยใหญ่กันมานับไม่ถ้วน ฝึกฝนความสงบนิ่งมาเนิ่นนาน ครั้งนี้ได้เห็นความตื่นตกใจที่ไม่เห็นมานานหลายปี ทำให้ลู่เซิ่นรู้สึกตลกเล็กน้อย
แต่เขาไม่มีเวลามาดูหลินหยังเล่นตลกที่นี่ จึงกระแอมในลำคอเบาและพูดว่า : “ฉันไม่ต้องแนะนำแล้วสินะ ฉินซี”
หลินหยังอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่อ้าปากได้ไม่นานก็ปิดกลับ เหมือนกำลังพยายามกล้ำกลืนคำถามลงไปในท้องอย่างไงอย่างนั้น ปิดปากแน่นสนิทและหันไปก้มหน้าทางฉินซี ถือเป็นการทักทาย
รอยยิ้มในดวงตาของฉินซีเพิ่มมากขึ้น เธอก้มหน้าให้หลินหยังเช่นกัน
ลู่เซิ่นกล่าวขึ้นในเวลาที่เหมาะสม : “เรื่องราวทั้งหมด ฉันจะหาโอกาสอธิบายให้คุณฟังอย่างละเอียดในภายหลัง แต่ตอนนี้ที่คุณต้องจำมีสองอย่าง อย่างแรก ต่อจากนี้บนเรือสำราญฉินซีจะอยู่กับฉัน อย่างที่สอง ห้ามบอกใครเด็ดขาดเรื่องที่เห็นฉินซี”
เหมาะสมแล้วที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับลู่เซิ่นมา หลังจากพูดไปไม่กี่คำสีหน้าเขาสงบลงไม่น้อย
หลังจากฟังลู่เซิ่นสั่งงานจบ เขาก็ไม่ถามอะไรมาก ทำแค่พยักหน้ารับ : “ได้ ฉันจะไม่บอกใครเรื่องที่ฉินซีอยู่ที่นี่”
ลู่เซิ่นพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกถึงความพึงพอใจ และเปลี่ยนประเด็น : “มีธุระอะไร?”
ทันทีที่หลินหยังก้าวเข้ามาเขาก็ตกใจกับการมีอยู่ของฉินซี จดเกือบจะลืมจุดประสงค์ที่ตัวเองมาที่นี่ ได้ยินลู่เซิ่นถามแบบนี้ จึงรีบส่งเอกสารในมือออกไป : “ทางบริษัทส่งเอกสารพวกนี้มาให้ บอกว่าต้องให้ท่านจัดการด้วยตัวเอง”
ลู่เซิ่นพยักหน้า รับเอกสารมากวาดสายตาดู จริงๆแล้วไม่ใช่ปัญหายุ่งยากอะไร จึงเงยหน้าส่งสัญญาณบอกให้หลินหยังรอตรงนี้สักครู่ และก้มหน้าอ่านอย่างตั้งใจ
ฉินซีไม่มีอะไรทำ จึงนั่งอยู่อีกด้านลูบคางมองสำรวจลู่เซิ่น
ถึงแม้อยู่บนเกาะเธอจะไม่สามารถติดต่อกับลู่เซิ่นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของลู่เซิ่นในหนึ่งปีมานี้
คิดว่านอกจากหลินหยังแล้ว ก็มีแค่ฉินซีที่รู้ว่าหนึ่งปีมานี้ลู่เซิ่นพยายามมากแค่ไหน
ทุกครั้งที่เจอกัน ลู่เซิ่นจะดูผอมกว่าเดิมลงเล็กน้อย
ถึงเขาจะมีนักโภชนาการอาหารดูแลโดยเฉพาะ และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถึงแม่รูปร่างยังคงดีมาก กล้ามที่ควรมีก็มีไม่น้อย แต่ทั้งตัวดูเหมือนจะไม่มีไขมันเลย ทั่วทั้งร่างกายเหมือนคันธนูที่ยืดตึงไปหมด
แต่…คันธนูที่ที่อยู่ในลักษณะนี้ตลอดเวลาสามารถชำรุดได้เร็วมาก
บางครั้งฉินซีก็เป็นห่วงสถานการณ์ด้านสุขภาพของลู่เซิ่น
ถึงแม้บริษัทลู่ซื่อจะมีโรงพยาบาล ลู่เซิ่นเองก็มีหมอส่วนตัวของตัวเอง แต่ฉินซีกลับมีความรู้สึกว่าลู่เซิ่นไม่มีทางเชื่อฟังคำพูดของคนอื่น
เธอดูลู่เซิ่นได้ไม่นาน ก็รู้สึกถึงสายของหลินหยังที่พุ่งมาที่เธอได้อย่างทันที
ฉินซีเงยหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกทั้งหมด เป็นอย่างที่คิดหลินหยังและเธอมองหน้ากัน
แววตาของหลินยังดูสบายไม่คิดอะไร ไม่เหมือนอยากจะถามอะไรเธอ กลับกันเหมือนกำลังจะบอกอะไรเธอ
เพียงแค่ว่าระหว่างเธอกับหลินหยังแล้วแม้แต่คุ้นเคยกันยังพูดไม่ได้เลย แน่นอนที่จะไม่เข้าใจในแววตาเขามีความหมายอะไรอยู่
“ฉันยังอยู่ตรงนี้น่ะ” ลู่เซิ่นไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ยักคิ้วหลิ่วตาให้เมียฉันต่อหน้าฉัน หลินหยัง กล้าเกินไปแล้ว”
หลินหยังตกใจ รีบเก็บสายตาลง และก้มหน้ามองเท้าตัวเองอีกครั้ง
แต่หลังจากเก็บสายตาลงแล้ว เขาเพิ่งจะมารู้สึกทีหลังถึงคำพูดสำคัญในประโยคของลู่เซิ่น
เมีย?
เดี๋ยวน่ะ ทำไมเขาถึงเรียกฉินซีว่าเมีย?
คนที่แต่งงานกับเขาไม่ใช่เวินจิ้งหรือ?
หลินหยังเชื่ออย่างไม่สงสัย ตามนิสัยของลู่เซิ่นแล้ว ไม่มีทางทำเรื่องนอกลู่นอกทางแบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเรียกคู่รักที่ออกนอกลู่นอกทางว่าเมียต่อหน้าคนอื่น
ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่…
หลินหยังถึงขนาดรู้สึกว่าสมองรับกับข้อมูลจำนวนนี้ไม่ไหว เหมือนมีเรื่องราวมากมายถูกยัดเข้ามาในสมองเขา จนทำให้เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี