บทที่ 1308 แก้ไข
และถ้าฉินซีตั้งใจจะปิดบังตนเองจริงล่ะก็ เขาจะต้องทำได้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้
ท่าทีปิดบังอย่างชัดเจนอยากจะพูดแต่ไม่พูดนี้ จริงๆ แล้วกำลังพยายามบอกอะไรตัวเองอยู่สินะ
ลู่เซิ่นหรี่ตา ถามต่อว่า : “ฉันค่อนข้างพอใจ คุยกันแล้วว่าเตรียมตัวจะลงทุน”
เป็นอย่างที่คิด หลังจากพูดประโยคนี้จบ ใบหน้าฉินซีปรากฏความกังวลขึ้นมาอย่างชัดเจน มีคำพูดบางอย่างอยู่ในปากเธออย่างชัดเจน แต่เธอกลับกลืนมันลงไปอีกครั้ง และเปลี่ยนเป็นประโยคอื่นแทน : “ฉันคิดว่า…พวกคุณจะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหน่อยน่ะ”
ในใจลู่เซิ่นมั่นใจแล้ว องค์กรของฉินซีต้องมีความเกี่ยวข้องกับบ่อน้ำมันนี้แน่นอน
ในใจของเขามีความรู้สึกอยากจะเอาชนะที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเกิดขึ้น
ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยพอใจกับบ่อน้ำมันบ่อนี้ แม้ว่าผลการสำรวจจะไม่เลว แต่สถานที่ตั้งค่อนข้างห่างไกล ถ้าต้องพัฒนา วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ต้องลงทุนเยอะมาก
ถ้าไม่รู้ว่าองค์กรของฉินซีก็สนใจบ่อน้ำมันแห่งอยู่ด้วย กลับไปประชุม บริษัทลู่ซื่อน่าจะปล่อยบ่อน้ำมันนี้ไป
แต่ถ้าองค์กรเองก็สนใจแล้ว…
สีหน้าลู่เซิ่นเคร่งขรึม
ถึงแม้ว่าจะเป็นของที่เขาไม่ต้องการ แต่ก็ปล่อยให้องค์กรเอาไปไม่ได้
ตั้งแต่บังคับให้ฉินซีออกจากรีสอร์ทชิงหยวนครั้งนั้น ความเคียดแค้นของลู่เซิ่นต่อองค์กรก็ไม่สามารถแก้ไขได้ตามใจอีก
แต่การแสดงออกทั้งหมดของเขาอยู่ในสายตาฉินซีตลอด
ในโลกนี้มีไม่กี่คนที่จะเข้าใจการแสดงออกของลู่เซิ่นว่ากำลังคิดอะไรอยู่ได้ดีกว่าฉินซีอีกแล้ว
ฉินซีเห็นเขามีท่าทางนิ่งขรึม และเลียเขี้ยว ในใจรู้สึกไม่ดี
“บ่อน้ำมันนี้…หลายคนอยากได้” เธอพูดเร็วขึ้นไม่น้อย “คุณต้องดูลูกน้องคุณให้ดี ถ้าข่าวนี้หลุดออกไป จะไม่คุ้มค่าเลย”
เธอพูดอย่างชัดเจนแล้ว ที่คิ้วยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย และจ้องมองลู่เซิ่นอย่างใกล้ชิด
ลู่เซิ่นเห็นความกังวลของเธอได้โดยธรรมชาติ ความกระตือรือร้นที่เพิ่มขึ้นเมื่อกี้ถูกดับลง ทำให้สมองของเขาค่อยๆ สงบลง
ทำไมฉินซีถึงพูดอย่างนี้?
ข่าวรั่วไหลออกไป
หรือว่า…องค์กรของเธอไม่ได้สนใจกับบ่อน้ำมันแห่งนี้ แต่กลับสนใจข่าวการขายบ่อน้ำมัน?
ดีที่เขารู้ว่าฉินซีอึดอัดอย่างนี้ต้องไม่ยอมบอกเขาตรงๆ แน่นอน เป็นกังวลเสียส่วนใหญ่ จึงไม่ได้พูดให้ชัดเจน จึงทำได้แค่มองฉินซีอย่างสงสัย
เห็นสายตาของลู่เซิ่นแล้ว ฉินซีก็แทบจะเข้าใจความคิด ได้แต่พยักหน้าเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
ลู่เซิ่นดูเหมือนจะติดเชื้ออะไรบางอย่างเหมือนกัน ได้แค่เอ่ยปากถามโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า : “นี่คือภารกิจคุณใช่ไหม?”
แน่นอนฉินซีเข้าใจคำถามของเขา แต่ทำได้แค่ลดสายตาลงโดยไม่ตอบอะไร
แต่การกระทำของเธอ ก็มากพอที่จะทำให้ลู่เซิ่นเข้าใจแล้ว
เขารู้สึกถึงความโกรธที่ค่อยท่วมท้นเข้ามาในร่างกายตัวเองอย่างกะทันหัน
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยถามฉินซีเลยว่าทำอะไรในองค์กร ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดที่รู้ก็คือข้อมูลที่ถังย่าบอกเขาผ่านโทรศัพท์เมื่อหนึ่งปีก่อน เขารู้แค่ว่างานในองค์กรของฉินซีคืองานข่าวกรอง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า “ข่าวกรอง” คืองานอะไรกันแน่
คืนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาติดต่อกับภารกิจของฉินซีโดยตรง
ฉินซีไม่ต้องบอก เขาก็รู้ พันธมิตรด้านความร่วมมือของตัวเองให้ความสำคัญกับเอกสารสำรวจบ่อน้ำมันนี้เป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ต้องพยายามเก็บรักษาเอกสารนี้ไว้อย่างเข้มงวดและเป็นความลับ
แต่ฉินซีต้องไปขโมยเอกสารชุดนี้ตามความต้องการขององค์กร
ลู่เซิ่นไม่มีความคิดอะไรในใจในชั่วพริบตา แค่คิดว่า…นี้อันตรายมากแค่ไหน
ถ้าเกิดพ่ายแพ้ล่ะ? ถ้าเกิดโดนจับได้ล่ะ?
ทันใดนั้นเขาก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา ยื่นมือไปคว้ามือของฉินซีมาจับไว้ในมือตัวเอง
“เหนื่อยไหม?” เขาถามเบาๆ
แต่ทั้งสองคนรู้ดี สองคำนี้ของเขาไม่ได้หมายถึงความหมายภายนอกที่ฟังดูง่ายๆ
ฉินซีนิ่งไป ไม่ส่ายหน้า และก็ไม่พยักหน้า ทำเพียงแค่ซุกหน้าไว้ที่ไหล่ของลู่เซิ่น
จะไม่เหนื่อยได้ยังไงล่ะ?
ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่าในโลกนี้ยังมีลู่เซิ่นอยู่อีกคน เกรงว่าฉินซีคงไม่อดทนรอถึงวันนั้นที่จะได้อยู่ด้วยกันกับลู่เซิ่น
แต่ตรงหน้ายังมีคนคนนี้อีกคน โลกนี้ก็ยังไม่เลวร้ายถึงขนาดต้องทำลายล้าง
ดูเหมือนลู่เซิ่นจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของฉินซี จึงไม่ไล่ถามอะไรต่ออีก ได้แค่ยื่นมือออกไปกอดฉินซีไว้แน่นๆ ในอ้อมกอดตนเอง
ความปรารถนาที่อยากให้ฉินซีออกจากองค์กรแรงกล้าขึ้นกว่าวันก่อนๆ ลู่เซิ่นทำได้แค่กอดฉินซีไว้แน่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองหุนหันพลันแล่นทำอะไรโง่ๆ
สองคนไม่รู้ว่ากอดกันนานแค่ไหน ฉินซีจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากไหล่ของลู่เซิ่น มองลู่เซิ่นและถามว่า : “บ่อน้ำมันบ่อนั้น…เดิมทีคุณคิดเห็นยังไง?”
เดิมทีลู่เซิ่นยังคงจมอยู่กับความเสียใจ แต่เมื่อก้มหน้าไปเห็นสายตาจริงจังของฉินซี ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
…เธอช่างเป็นภรรยาที่ดี ถึงตอนนี้ยังไม่ลืมเรื่องบ่อน้ำมัน
ดังนั้นลู่เซิ่นจึงไม่พูดเล่นแล้ว และพูดอย่างเป็นทางการว่า : “เดิมที่ฉันไม่ได้สนใจสิ่งนี้เท่าไหร่ บ่อน้ำมันไกลไป น้ำมันอยู่ในระดับตื้นก็จริง แต่ปริมาณสำรองไม่มาก สถานที่ตั้งค่อนข้างห่างไกล ถ้าจะพัฒนาจริง ต้องใช้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเยอะมาก”
ฉินซียังคงขมวดคิ้วน้อยๆ และถามต่อว่า : “ก่อนจะถึงคืนนี้คุณก็คิดแบบนี้หรือ? ได้บอกใครบ้างไหม?”
ลู่เซิ่นขยับคิ้ว รู้สึกว่าคำถามนี้ของฉินซีแปลกๆ แต่ก็ตอบตามความจริงไปว่า : “มีสิ ก่อนที่จะไปร่วมงานเลี้ยง ฉันได้คุยเรื่องนี้กับคณะกรรมการหลายๆ คน”
ครั้งนี้ฉินซีค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
แค่มีหลักฐานอยู่ก็ดีแล้ว
เธอไม่ได้กลัวจะถูกองค์กรลงโทษเพราะเปิดเผยภารกิจของตัวเอง แต่กลัวจะทำให้ลู่เซิ่นลำบากไปกับตัวเองด้วย
ถ้าเขายกเลิกธุรกรรมนี้ง่ายๆ จ้านเซินต้องสงสัยอย่างแน่นอนว่าตนเองเปิดเผยอะไรไปรึเปล่า
แต่ฉินซีเข้าใจพฤติกรรมของเขา เขาจะไม่เผชิญหน้ากับตนเอง แต่จะตรวจสอบทุกอย่างอย่างละเอียดเป็นการส่วนตัว แล้วค่อยดึงเอาหลักฐานทั้งหมดออกมา ทำให้ไม่สามารถหาอะไรมาหักล้างได้
แค่ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่นเคยแสดงความคิดเห็นไม่อยากลงทุนออกมา ตอนที่จ้านเซินตรวจสอบด้วยตัวเอง ก็จะไม่สงสัยอะไรแล้ว
หรือพูดได้ว่า ถึงแม้จะสงสัย ก็จะพุ่งมาที่ฉินซีเพียงคนเดียว
แค่นี้ก็พอแล้ว
สามารถแก้ปัญหาเรื่องที่ค้างอยู่ในใจได้แล้ว ตั้งแต่ขึ้นเรือมาฉินซีมีก้อนหินก้อนหนึ่งกดดันอยู่ในใจตลอดมาในที่สุดก็ปล่อยมันได้สักที ความสบายใจอยู่ในรอยยิ้มไม่น้อย
ถึงแม้ลู่เซิ่นจะไม่รู้ว่าทำไมการแสดงออกของเธอถึงดูสบายใจขึ้นมากะทันหัน แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของฉินซี แค่รู้สึกว่าความปรารถนาที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อกี้กลับมามีพลังขึ้นอีกครั้ง
เดิมทีทั้งสองก็อยู่ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว แค่เขายื่นมือก็สามารถดึงฉินซีกลับเข้ามาในอ้อมกอดตัวเองได้อีกครั้ง และกระซิบข้างหูเธอว่า : “กลัวฉันไม่มีเงินขนาดนั้นเลย?”
ฉินซีหัวเราะเบาๆ ผลักอกเขาแกล้งทำเป็นปฏิเสธ ไม่ตอบคำถาม
ลู่เซิ่นหวั่นไหวยิ่งขึ้นเพราะรอยยิ้มเธอ ไม่อยากถามอะไรขึ้นมาทันที รีบก้มหน้าจูบลงไป