บทที่ 1328 เอาชนะความกลัว
โรงหนังที่ลู่เซิ่นเตรียมไว้ไม่ไกลมากนัก สองคนไม่ได้ลงไปเอารถที่ลานจอดรถใต้ดิน แต่พากันเดินจูงมือไปด้วยกัน
เขาเหมาสถานที่เหมือนเดิม ทั้งโรงหนังดูแล้วเย็นเยียบ
“อยากดูเรื่องอะไรครับ” ลู่เซิ่นจูงมือฉินซี เดินเข้าไปใกล้โปสเตอร์หนัง
ช่วงนี้มีหนังเข้าฉายหลายเรื่อง โปสเตอร์สีสันสดใสดูแล้วน่าสนใจ แต่ฉินซีดูเหมือนไม่ค่อยสนใจ ชี้ไปมั่วๆ เรื่องหนึ่ง “เรื่องนี้ละกันค่ะ”
ลู่เซิ่นแปลกใจนิดหน่อย “แน่ใจนะ”
เมื่อครู่ฉินซีใจลอย จึงชี้ไปมั่วๆ ไม่ได้สนใจสักนิดว่าตนเองเลือกเรื่องอะไร เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของลู่เซิ่น ถึงได้ตั้งใจดูอีกครั้ง
…คือหนังสยองขวัญที่ดังมากเรื่องหนึ่ง ทำเป็นหนังสามมิติเข้าฉายใหม่อีกครั้ง
ฉินซียิ้มเก้อเขิน แต่ไม่อยากเปิดเผยความจริงทำไมตัวเองถึงใจลอย จึงทำหน้าหนา “ฉันแค่สงสัย! ใครๆ ก็บอกว่าเรื่องนี้น่ากลัวมาก ตกใจแทบตาย ฉันก็เลยอยากรู้ จะน่ากลัวแค่ไหนคะ”
ลู่เซิ่นไม่ยิ้ม “โอเค งั้นเรื่องนี้ก็ได้ครับ”
เขาคิดไม่ถึง ฉินซีจะชอบดูหนังแบบนี้
ดีที่เขาไม่กลัว จึงจูงมือฉินซีเข้าไปในโรงหนัง
โรงที่ฉายเป็นโรงคู่รัก ที่นั่งตรงกลางไม่มีที่เท้าแขนกั้น สองคนหาที่นั่งเหมาะๆ จอภาพก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
เสียงสเปเชียลเอฟเฟกต์ของหนังสยองขวัญดังรอบโรงหนัง
ฉินซีอดไม่ได้จะเบียดตัวเข้าไปใกล้ลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นยิ้ม นึกไม่ถึงหนังสยองขวัญจะได้ผลเกินคาดอย่างนี้ จึงคล้อยตามโอบฉินซีเข้ามาในอ้อมกอด
เรื่องราวในหนังสยองขวัญยังดำเนินต่อไป
ที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซีดูหนังสยองขวัญ ในเมื่อฝึกฝนในองค์กรมานานขนาดนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองกล้าหาญไม่น้อย เมื่อครู่รู้ตัวว่าเลือกหนังเรื่องนี้ไป ถึงได้กล้าบอกว่าอยากดู
แต่…เมื่อดูจริงๆ แล้ว ถึงพบว่าที่จริงแล้วหนังสยองขวัญ ไม่ใช่ความกล้าหาญทั่วไปถึงรับไหว
ในตอนแรกฉินซียังใจลอย ระแวงว่าพวกเขาอยู่ๆ จะเจอข่าวร้ายอะไรในโรงหนังหรือไม่
แต่เมื่อทั้งภาพและเสียงของหนังสยองขวัญจู่โจมหนักหน่วง เธอค่อยๆ ลืมความกังวลของตัวเอง ค่อยๆ จมดิ่งลงไปในเรื่องราวของภาพยนตร์
บ้านในหนังถูกผู้หญิงที่ตายอย่างอยุติธรรมสาป แค่เข้าไปในบ้านก็จะถูกวิญญาณหลอกหลอน ตายอย่างประหลาด
ฉินซีถูกเนื้อเรื่องดึงดูดความสนใจ สองมือจับชายเสื้อของลู่เซิ่นไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นมีเงาดำพรวดออกมา ฉินซีตกใจ รู้สึกกลัวมาก จับเสื้อของลู่เซิ่นแน่น
ลู่เซิ่นเคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว และรู้ว่าตอนไหนจะมีฉากทำให้คนดูตกใจ เห็นว่าฉินซีกลัว แต่ก็จ้องดูไม่ได้หลบตา ก็รู้ว่าเธอไม่ได้กลัวจริงๆ จึงไม่ได้ขัดเธอ เพียงแต่สละเสื้อนอกและแขนเสื้อให้เธอดึงทึ้งตอนที่กลัว และยังโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอดด้วย
ความสุขของเขาไม่ใช่การดูหนัง แต่เป็นการมองฉินซี
ตอนที่ผีสาวชื่อKayako Saeki ปีนลงมาจากบันได เป็นช่วงพีคของทั้งเรื่อง ฉินซีหดตัว ฝ่ามือเหงื่อออก สายตายังคงจ้องมองจอฉายหนังไม่กระพริบ
ลู่เซิ่นเห็นแล้วรู้สึกสนุก แอบคลายกอดแขนฉินซี ตอนที่ผีสาวพุ่งออกมา เขาก็แตะที่เอวฉินซีเบาๆ
ฉินซีตกใจจนตัวสั่น อดไม่ได้ที่จะกรี๊ดออกมา
เธอรู้ตัวอย่างรวดเร็วว่าลู่เซิ่นนั่นเองที่แกล้งเธอ
ผีสาวในจอหายวับไปแล้ว ฉินซีหันไปจ้องมองลู่เซิ่น กระซิบดุเขา “เล่นเป็นเด็ก!”
ลู่เซิ่นยิ้มดีใจที่แกล้งสำเร็จ “งั้นผมทำให้คุณตกใจ”
ฉินซีโต้แย้งเรื่องจริงนี้ไม่ได้ จึงงอนหันไปดูหนังต่อ
หนังดำเนินมาถึงตอนท้าย นางเอกกลายเป็นผี จากนั้นหนังก็จบลงดื้อๆ
ไฟในโรงหนังสว่างพรึ่บ
ฉินซีถอนหายใจยาว ถึงเพิ่งเห็นว่าชายเสื้อของลู่เซิ่นถูกดึงจนยับ และฝ่ามือก็เหงื่อผุด
“ไปกันเถอะ!” ฉินซีหันไป ทำเป็นไม่เห็นเรื่องที่ตัวเองทำ ลุกขึ้นจะออกไป แต่กลับถูกลู่เซิ่นดึงไว้
“ฉินซี” ลู่เซิ่นยังนั่งอยู่ที่เดิม ดูเหมือนไม่รีบออกจากโรง “ตั้งแต่มาโรงหนัง ทำไมคุณถึงใจลอยล่ะครับ”
ฉินซีอึ้งไป เธอคิดว่าตัวเองปิดบังได้ดีแล้ว นึกไม่ถึงลู่เซิ่นจะสังเกตเห็น
“ทำไมคุณคิดอย่างนั้น…” น้ำเสียงของเธอไม่มีความมั่นใจเลย
ลู่เซิ่นยิ้มบางๆ “ตั้งแต่เดินเข้ามา คุณก็มองมือถือตลอด และดูจากท่าทีตอนดูหนัง น่าจะไม่เคยชินกับหนังประเภทนี้ ในเมื่อปกติไม่ดู ทำไมเลือกเรื่องนี้ล่ะ”
เขาสังเกตละเอียดมาก ฉินซีไม่มีจุดที่จะโต้แย้ง สองคนนิ่งไปครู่ใหญ่ เธอก้มศีรษะ
“ฉัน…มีภาพหลอน กับโรงหนังค่ะ”
เสียงของเธอแผ่วเบา แต่ลู่เซิ่นก็ยังได้ยินชัด
เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่บีบมือของฉินซี หมายความว่าให้เธอพูดต่อไป
ฉินซีหลับตา เล่าย่อๆ เรื่องที่เธอได้รับโทรศัพท์จากพ่อบ้านตอนอยู่ที่โรงหนัง พอกลับไปถึงบ้านก็พบว่าฉินซึ่งเทียนกล่าวหาแม่ของเธอคบชู้
สายตาของลู่เซิ่นฉายแววสงสาร
“คุณ…ทำไมไม่บอกผมแต่แรกล่ะ” ลู่เซิ่นประคองใบหน้าของฉินซี “ถ้าบอก ผมจะได้เปลี่ยนสถานที่ก็เท่านั้น”
ฉินซีส่ายหน้า “แต่แรกคิดว่าที่นี่เป็นภาพหลอนไม่มีเหตุผล คนที่ผิดคือฉินซึ่งเทียน ไม่ใช่โรงหนังซะหน่อย เวลานั้นไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน โทรศัพท์ของพ่อบ้านก็จะต้องโทรมาอยู่ดี ฉันจะอยู่กับเงามืดที่ไม่มีความหมายนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้ เมื่อก่อนฉันแค่…ไม่อยากเผชิญหน้า ตอนนี้มีโอกาสแล้ว และยังมีคุณคอยเคียงข้าง ฉัน…ก็เลยอยากจะลองดู”
ลู่เซิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ยื่นมือไปลูบหัวของเธอ “คุณทำได้ดีมาก”
ฉินซีก็ยิ้มตาม
เธอเองก็ไม่คิด เพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง เธอรู้สึกได้ว่าความขัดแย้งกับโรงหนังที่เคยมีอยู่ในใจลึกๆ จะหายไปเกือบหมดแล้ว
แม้ว่าเงามืดจะไม่อาจสลายหายไปได้หมด แต่…อย่างน้อยต่อจากนี้ เธอจะไม่แคร์มากมาย เกิดหรือไม่เกิดเรื่องร้าย
“งั้นเราไปกันเถอะ” ครั้งนี้เป็นฝ่ายลู่เซิ่นที่ลุกขึ้นก่อน ดึงฉินซีขึ้น อยู่ๆ ก็ถามขึ้น “ต่อไปเราไปไหนกันดี”
ฉินซีอึ้ง “คุณไม่ได้เตรียมแผนไว้หรือคะ”
เกือบสี่ทุ่ม ค่อนข้างดึกก็จริง แต่ก็ยังไม่ดึกมากถึงกับเป็นเวลาต้องกลับบ้าน
ลู่เซิ่นไม่ได้วางแผนจริงหรือ จะยอมกลับเร็วขนาดนี้หรือ
ฉินซีสงสัย
ลู่เซิ่นยิ้มบางๆ “ช่วงสุดท้าย คุณอยากทำอะไร”