บทที่ 1330 ตระกูลหนานกง
ทีแรกฉินซีแค่เห็นลู่เซิ่นหึง ก็อยากแกล้งเขาเล่น แต่เมื่อเริ่มต้นอย่างนี้ ก็วิเคราะห์อย่างจริงจังขึ้นมาจริงๆ
“เห็นอยู่ว่าไว้ผมยาว ดูอ่อนโยนสวยงาม ใส่เสื้อผ้าก็ไปทางรัดรูป เหมือนนกยูงรำแพนหางได้ แต่ก็ไม่แต่งหน้า หน้าตาจืดๆ แถมคนที่เปิดเผยอย่างนี้ น่าจะตั้งชื่อหนานกง โอวหยาง ซือหม่าอะไรทำนองนี้ถึงจะถูกสิ นี่อะไรตั้งชื่อถ่อมตัว โจวเอ้อ ข้อสุดท้ายน้ำเสียงก็ราวกับคุ้นเคยกับฉันมาก ต่อหน้าคุณไม่กลัวที่บอกว่ารู้ความจริงเรื่องเราสองคน เขาน่าจะไม่กลัวคุณ แต่ก็ไม่ยอมพูดให้ชัดเจน คุณบอกให้ไปก็ไปง่ายๆ”
ฉินซีพูดต่อเนื่องยาวขนาดนี้ ลู่เซิ่นตอนแรกแค่ใจลอย ค่อยๆ ฟัง ก็เงยหน้าขึ้น
ฉินซีเห็นเขาเงยหน้า ก็เลิกคิ้ว “ว่าไงคะ ฉันพูดมีเหตุผลมั้ย”
ลู่เซิ่นยิ้มบางๆ
เขารู้แจ่มแจ้ง ฉินซีวิเคราะห์ยืดยาว ที่จริงสนใจคำถามสุดท้าย——โจวเอ้อ รู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ยังไง
ลู่เซิ่นหัวเราะในใจ
ในเมื่อเธอถามอ้อมไปอ้อมมา อย่างนั้นจะตำหนิเขาตอบอ้อมค้อมก็ไม่ได้
“คุณพูดไม่ผิดจริงๆ เขาน่ะ ชื่อจริงไม่ใช่ โจวเอ้อ” ลู่เซิ่นพูด พลางหยิบแก้วเหล้าสองใบวางตรงหน้าฉินซีกับตัวเอง น้ำเสียงไม่รีบร้อน
ฉินซีเดิมอยากเลียบเคียงถามโจวเอ้อ รู้ความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เซิ่นได้ยังไง ถูกลู่เซิ่นเปลี่ยนหัวข้อ รู้สึกอยากรู้ขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะถาม “งั้นเขาชื่ออะไรคะ”
ลู่เซิ่นยิ้ม “ที่จริงคุณพูดออกมาเองแล้ว ชื่อเดิมเขาคือ หนานกงเจ๋”
ฉินซีเบิกตาโต
ช่วงสามสัปดาห์มานี้ เพียงพอที่เธอจะศึกษาข้อมูลเมืองหนาน เมืองหนานมีตระกูลใหญ่อะไรบ้าง เธอจำได้ขึ้นใจ
หนานกง…น่าจะเป็นตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งในเมืองหนานที่ค่อนข้างลึกลับ
ถึงแม้จะเป็นข้อมูลขององค์กร คำบรรยายเกี่ยวกับตระกูลหนานกง ก็ไม่ชัดเจนนัก เพียงเขียนคร่าวๆตระกูลหนานกง เริ่มต้นจากมาเฟีย ตอนนี้ทำอะไร ล้างมือแล้วหรือยัง ก็ไม่ชัดเจน
เมื่อดูจากอำนาจขององค์กรที่แทรกซึมตอนนี้ ข้อมูลตระกูลใหญ่ขนาดนี้กลับมีแค่สั้นๆ เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ——
อำนาจของตระกูลหนานกงที่นี่เหนือกว่าองค์กร
ก่อตั้งเร็วกว่า หรือมีอำนาจมากกว่าปกป้องตัวเองได้ มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น
แต่หากโจวเอ้อ เป็นคนของตระกูลหนานกงทำไมต้องปิดบังชื่อแซ่ด้วย
ดูเหมือนจะเข้าใจความแปลกใจของฉินซี ลู่เซิ่นยิ้มบางๆ “ลองคิดดูสิ แค่ได้ยินชื่อหนานกง ก็มีท่าทางแบบนี้ เขาถึงไม่ชอบใช้ชื่อหนานกงเจ๋ กับคนอื่น”
ฉินซีไม่ถูกเขาหลอก “โจวเอ้อ…หรือหนานกงเจ๋ ถ้าแคร์สายตาของคนอื่น ไม่มีทางไว้ผมยาวขนาดนี้หรอก”
พูดได้ว่า ถ้าเพราะไม่อยากให้คนอื่นสนใจถึงเปลี่ยนชื่อ ใช้เหตุผลนี้กับเขาไม่ได้แน่
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วนิดหนึ่ง ไม่โต้แย้งคำพูดของฉินซี เพียงแต่พูดเรียบๆ “ถ้าเขาอยากใช้อะไรที่สะดุดตา ปิดบังอีกอย่างที่สะดุดตาล่ะ”
ฉินซีขมวดคิ้วสงสัย “…อีกอย่างที่สะดุดตา”
ลู่เซิ่นไม่ได้อธิบายตรงๆ แต่ถามกลับ “คุณเห็นโจวเอ้อ ครั้งแรก รู้สึกยังไงล่ะ”
ฉินซีเอียงศีรษะคิด “รู้สึก…สมแล้วที่เป็นเถ้าแก่บาร์”
ใบหน้าของลู่เซิ่นแสดงว่าอยากจะหัวเราะ “ถ้าผมไม่บอกคุณ เขาคือผู้นำของตระกูลหนานกง คุณรู้สึกว่าเขาเหมือนมั้ย”
ครั้งนี้ฉินซีประหลาดใจมากๆ “ผู้นำ…ตระกูลหนานกงงั้นหรือ”
ลู่เซิ่นยิ้มกว้างขึ้น “เห็นมั้ยล่ะ คุณไม่คิดถึงใช่มั้ยล่ะ”
ฉินซีพยักหน้า “จริงค่ะ…”
แม้ในข้อมูลจะมีรายละเอียดของตระกูลหนานกง ไม่มาก แต่ “ผู้ตั้งมาเฟีย” สี่คำนี้ ทำให้คนอื่นนึกไปถึงคนที่สวมชุดสูทดำและแว่นดำ รูปร่างสูงใหญ่ ฆ่าคนไม่กะพริบตา อย่างไรก็นึกไม่ถึง…คนผมยาวถึงเอว แยกชายหญิงไม่ออก จะเป็นผู้นำตระกูลตัวจริง”
“อย่างนั้น บาร์นี่ ก็เป็นแค่ฉากบังหน้าเท่านั้นหรือคะ” ฉินซีถาม
ลู่เซิ่นส่ายหน้า “ไม่ใช่ ถ้าเขาไม่ได้เกิดในตระกูลหนานกงคงจะเป็นเถ้าแก่บาร์จริงๆ ไปแล้วล่ะ”
ฉินซีลืมคำถามที่อยากจะถามในตอนแรกไปหมด ตอนนี้อยากรู้แต่เรื่องของโจวเอ้อ
ลู่เซิ่นไม่รีบเล่าต่อ แต่เคาะแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าฉินซี “ลองชิมดูก่อนสิ โจวเอ้อ ชงเองเชียวนะ ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีใครได้ดื่มแล้ว”
ฉินซีค่อยก้มมองแก้วเหล้าที่ลู่เซิ่นเลื่อนมาข้างหน้าตัวเอง
สีเข้มๆ ดูไม่ออกว่าพิเศษอะไร เหมือนกับ โจวเอ้อ คนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่นเล่าว่าเขาเป็นใคร ฉินซีไม่มีทางรู้ความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ลู่เซิ่นพยักหน้าเร่งเธอ ฉินซีค่อยหยิบแก้ว ขึ้นมาจิบนิดหนึ่ง
รสชาติหวานมาก เหมือนไม่มีรสชาติเหล้า แต่ฉินซีใช่ว่าจะหลอกได้ง่ายๆ โง่เชื่อว่านี่คือเครื่องดื่ม หันไปมองลู่เซิ่น “นี่คือ…ลองไอส์แลนด์ไอซ์ที”
ลู่เซิ่นยิ้มนิดๆ ส่ายหน้า “ไม่ใช่ลองไอส์แลนด์ไอซ์ที ไม่หวานขนาดนี้หรอก นี่คือเวอร์ชั่นปรับปรุงของโจวเอ้อ เขาเรียกมันว่า…ลองไอส์พระอาทิตย์ตก”
ฉินซียิ้ม “ชื่อนี้ฟังแล้วเพราะดีค่ะ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า “ใช่แล้วโจวเอ้อ หมอนี่…เรื่องนี้ มีพรสวรรค์มากจริงๆ”
ลู่เซิ่นเติบโตที่เมืองหนาน ในบรรดาตระกูลเศรษฐีเมืองหนานทั้งหมด เด็กที่อายุพอๆ กัน เป็นเพื่อนเล่นกันหมด
ลู่เซิ่นจึงรู้จักกับ หนานกงเจ๋มาตั้งแต่เด็กๆ
ตระกูลหนานกงมีลูกชายสองคน หนานกงเจ๋ เป็นคนเล็ก พี่น้องสองคนอายุห่างกันไม่มาก พี่ชายสุขุม น้องชายร่าเริง ที่บ้านสั่งสอนเข้มงวดกับพี่ชาย วางแผนให้พี่ชายเป็นทายาทสืบทอดกิจการ กับน้องชายไม่เข้มงวดนัก ปล่อยให้เขาโตอย่างอิสระ แค่ไม่เกเรเดินทางผิดก็พอ
ตั้งแต่เด็กๆ หนานกงเจ๋ จึงเป็นคนที่สบายที่สุดในบรรดาคุณชาย ไม่มีแรงกดดันจากคลาสเรียนมากมายของคนชั้นสูง มีเวลาเหลือเฟือครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง
ที่หายากคือ เขาไม่ชอบสำมะเลเทเมา แข่งรถจีบหญิง แต่กลับมีงานอดิเรกหลงใหลการชงเหล้า ทั้งวันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฝึกฝนชงเหล้า ตอนนั้นยังพูดว่า ต่อไปเขาจะต้องเปิดบาร์สำเร็จแน่ๆ เชิญทุกคนมากินดื่มเที่ยวฟรี
ตระกูลหนานกงแน่นอนว่ารู้ความชอบของเขา แต่ก็ไม่มีใครห้าม ในเมื่อไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ให้คุณชายเล็กมีความสุขเถอะ
ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ตระกูลหนานกงมีพี่ชายสืบทอด หนานกงเจ๋ ได้เปิดบาร์ของเขาอย่างมีความสุข จนขยายกิจการของตัวเอง
แต่เรื่องราวในโลกใบนี้ยากจะคาดเดา