บทที่ 1334 อย่าใช้ชีวิตแบบนี้อีก
โชคดีที่จ้านเซินโทรมาวันนั้น ดูเหมือนเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ เขาไม่ได้พบเจออะไร
ฉินซีรู้สึกใจคอไม่ดีทั้งคืน แต่เมื่อไม่เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ค่อยสงบจิตใจลงได้
ตารางงานของลู่เซิ่นยังคงยุ่งมาก หลังจากวันหยุดสุดสัปดาห์เขาก็ออกไปจากเมืองหนาน เธอรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตของฉินซีก็กลับเข้าสู่วิถีเดิมๆ เธอจะคุยกับลู่เซิ่นผ่านวิดีโอทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน ดำเนินงานขององค์กรในส่วนกลาง
เมื่อผ่านช่วงแรกมาได้สักระยะ เรื่องภายในองค์กรเธอก็ค่อนข้างที่จะคุ้นเคย และได้รับความไว้วางใจจากคนของที่นี่ ไม่ได้ยุ่งวุ่นวายเหมือนช่วงมาแรกๆ
“ไปแล้วนะครับประธานฉิน สุขสันต์วันหยุดครับ!” พนักงานยิ้มก่อนจะโบกมือหย็อยๆส่งให้เธอ เธองุนงงเล็กน้อยเมื่อกลับขึ้นมาด้านบน
เธอไม่มีเรื่องอื่นให้จัดการแล้ว ไม่มีใครให้ไปเจอ มีแต่ความคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ทั้งอาทิตย์กับลู่เซิ่น
ในขณะที่คิดเรื่องนี้ โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้น
เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้น ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับสายมัน
แต่คนที่โทรมาก็มีความอดทน โทรมาอีกรอบ ครั้งนี้เธอรับสาย
“ใครคะ?”
เสียงของอีกฝ่ายช่างคุ้นเคย “ฉินซี? ผมคือโจวเอ้อครับ ไม่ทราบว่าจำผมได้หรือเปล่า?”
แน่นอนว่าเธอจำได้ดี “ฉันจำได้ค่ะ”
เสียงของคุณโจวเอ้อแลดูมีความสุขในน้ำเสียง “เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณดูรีบมาก ผมไม่มีโอกาสได้เลี้ยงเครื่องดื่มคุณเลย คืนนี้คุณพอจะมีเวลาว่างไหมครับ ผมจะขอเชิญคุณมาที่บาร์สักหน่อย”
ฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แน่นอนว่าเธอไม่ได้โง่พอที่จะเชื่อว่าโจวเอ้อจะเชิญเธอไปดื่ม เห็นได้ชัดว่านี่คือข้ออ้าง และเรียกตัวเธอไปเพราะมีจุดประสงค์อื่น
แต่เธอเองก็อยากรู้ ว่าเขาต้องการที่จะคุยอะไรกับเธอ?
เธอจำท่าทีที่สนิทสนมกันของลู่เซิ่นและโจวเอ้อได้ และโจวเอ้อเองก็รู้ว่าเธอกับลู่เซิ่นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ถ้าหากลู่เซิ่นไม่เชื่อใจเขา ลู่เซิ่นคงไม่มีวันที่จะบอก
ดังนั้น … เธอจึงค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าลู่เซิ่นกับโจวเอ้อจะสนิทกันจริง และเธอสามารถไว้ใจเขาได้
เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะปฏิเสธ พยักหน้าตอบตกลง “โอเค ฉันจะไป”
“ไม่ต้องรีบครับ” เสียงของโจวเอ้อยังเต็มไปด้วยความยินดี “ผมจะส่งคนไปรับ จริงๆบาร์หาไม่ค่อยง่ายนัก กลัวว่าถ้ามาเองคุณจะหลงทางเอา”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ เธอก็ทำได้แค่ตอบตกลง
แต่หลังจากวางสาย ความอยากรู้อยากเห็นของฉินซีก็เพิ่มมากขึ้น
เป็นเรื่องขนาดไหนกันนะ ที่เขาอยากจะคุยกับเธอด้วยตัวเอง
เธอจำได้ชัดเจน ว่าโจวเอ้อเป็นผู้นำของตระกูลหนานกง เรื่องที่เขาจะพูดด้วยตัวเอง..คงจะไม่ใช่เรื่องที่มันง่ายนัก?
ฉินซีมัวแต่คิดว้าวุ่นไปเรื่อยก็คงหาคำตอบไม่ได้ เมื่อมองเวลา ก็เห็นว่าเป็นช่วงที่ลู่เซิ่นจะตื่นแล้ว คิดไปคิดมา เธอจึงต่อสายหาเขาทันที
ตามปกติ ลู่เซิ่นรับสายอย่างไว แต่เสียงแหบพร่าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน “มีอะไรหรือเปล่า? วันนี้โทรมาเร็วจัง”
ฉินซีพูดต่อ “เมื่อกี้โจวเอ้อโทรมาหาฉัน พูดเหมือนกับว่ามีอะไรที่อยากจะคุยกับฉันสองคน”
ลู่เซิ่นนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถามกลับมา “รับปากไปแล้วเหรอ?”
ฉินซีพยักหน้า “อืม โจวเอ้อบอกจะส่งคนมารับฉัน”
ลู่เซิ่นไม่ได้ขัดอะไร “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ”
เขาไม่ได้ดูแปลกใจสักนิด เหมือนกับว่ารู้เรื่องนี้แล้ว
ฉินซีมุ่นคิ้ว “เขามีเรื่องอะไรที่อยากคุยกับฉัน?”
ลู่เซิ่นได้ยินเสียงของเธอดูกังวลเล็กน้อย เขาขำเล็กน้อย พลางพูดปลอบใจ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ไม่ต้องตกใจ”
“คุณรู้เหรอ ว่ามันคือเรื่องอะไร”
“อืม” ลู่เซิ่นตอบกลับเบา ๆ
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่บอกฉันมาตรงๆ” ฉินซีรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “ให้ฉันสงสัยอยู่คนเดียว”
ลู่เซิ่นยิ้มเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ฉินซี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยครับ แค่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากถ้าคุยผ่านทางโทรศัพท์ ดังนั้นผมเลยให้โจวเอ้อมาอธิบายต่อหน้าให้คุณฟัง ส่วนที่รับคุณไปที่บาร์ เพราะว่า กับโจวเอ้อไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ผมกลัวคุณไปคนเดียวจะเบื่อ อยากให้คุณไปพักผ่อนสักหน่อย”
ฉินซีตะลึงนิดหน่อย”… อย่างนี้เหรอ”
ความอ่อนโยนของลู่เซิ่นทำให้ความสงสัยเมื่อครู่กลายเป็นเรื่องไร้สาระ ฉินซีรู้สึกผิดเล็กน้อย
เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่โจวเอ้อเพิ่งพูด จริงๆก็คืออยากให้เธอไปดื่มเครื่องดื่ม เป็นเธอที่ตระหนกไปเอง
ลู่เซิ่นเสริมต่อ “ไม่คิดว่ามันจะทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวนะ โอ๋”
เสียงที่อ่อนโยนของเขา มันทำให้เธอรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกสองเท่า “… โอเค”
เมื่อเห็นว่าเธอสบายใจขึ้น ลู่เซิ่นก็ไม่ได้พูดอะไรมาก คุยกันแค่ไม่กี่ประโยค ก่อนจะวางสายไป
ฉินซีจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอ ก่อนหรี่ตาลง
…… เธอคงตระหนกไปเองช่วงนี้
เพราะอิสระที่ได้รับมามันไม่ง่าย เธอเลยยิ่งกลัวถ้าหากต้องสูญเสียมันไป ดังนั้นทุกก้าวจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงสงสัย กลัวว่าจ้านเซินจะพบเบาะแสใดใด และจะนำตัวเธอกลับไปเกาะที่เธอจากมาอีกครั้ง และอีกครั้งที่ต้องห่างจากลู่เซิ่นคนรัก
แต่อิสรภาพที่เต็มไปด้วยความระแวงนี้ เป็นสิ่งที่เธอต้องการจริงหรือ?
ฉินซีกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
คำพูดสุดท้ายของฟางฟางดังสะท้อนขึ้นมาอีกครั้ง
“จำไว้เสมอนะ เธอไม่ใช่เครื่องจักรขององค์กร จิตวิญญาณเธอที่เป็นอิสระ”
ตอนนี้ … วิญญาณเธอถูกกักขัง อะไรคือความแตกต่าง?
ราวกับว่าได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งในใจของฉินซี
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้จ้านเซินคิดจะทำอะไร กำลังวางแผนอะไร แต่เธอก็รู้ ช่วงเวลาที่เธออยู่ในเมืองหนาน ไม่ได้รับการเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดมากนัก
ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่ต้องระแวดระวังเท่าใด
ทำทุกอย่างให้ดี ก็พอแล้ว
สิ่งที่เหลือคือการได้รับอิสรภาพที่ยากจะชนะ
สิ่งที่หนักอึ้งภายในใจมาทั้งวัน คือการได้อยู่ในอ้อมแขนของจ้านเซินรึ?
รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของฉินซี
เธอจะไม่ทำผิดแบบเดิมอีก
เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเธอค่อยๆกลับมาสงบลง เธอรับโทรศัพท์
“คุณฉินครับ ผมเป็นคนขับรถที่คุณโจวส่งมา ตอนนี้ผมรออยู่ข้างหน้าแล้ว รถเบนท์ลีย์สีดำที่มีป้ายทะเบียน XXXX จอดอยู่ที่ทางออกครับ”
ฉินซีตอบกลับ “โอเคค่ะ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”