บทที่ 1338 ฉันพึ่งพาตัวเองได้
“ฉินซี?” เสียงของเขาก้อง เหมือนอยู่ในห้องประชุม “คุณยังอยู่ที่บาร์ใช่ไหม?”
ฉินซีพยักหน้า “อืม ฉันยังไม่กลับ”
จู่ๆ ลู่เซิ่นก็วางสาย และโทรแบบวิดีโอแทน
ฉินซียังไม่ทันจะได้พูดอะไร ลู่เซิ่นก็ถามเธออย่างรวดเร็ว “นี่คุณดื่ม?”
ก่อนที่ฉินซีจะเอ่ยปากตอบ เสียงขี้เกียจของโจวเอ้อก็ดังมาจากด้านหลัง “มาที่นี่ยังไงก็ต้องดื่ม”
ลู่เซิ่นเมินโจวเอ้อ เขาเพียงแค่จ้องไปยังเธอ “คุณดื่มไปมากแค่ไหน?”
ฉินซีหยิบแก้วขึ้นมา แล้วเขย่าไปที่กล้อง: “หมดนี่”
โจวเอ้อขัดจังหวะอีกครั้ง “เพิ่งดื่มกันเสร็จ นายไม่ต้องกังวล ฉันจะไปส่งเธอเอง”
ในที่สุดลู่เซิ่นก็ตอบเขา “พูดหมดหรือยัง”
โจวเอ้อพยักหน้า “ครับ ครับ”
“ถึงบ้านแล้ว โทรหาผมนะ”
เมื่อฉินซีตอบรับ เขาจึงวางสายไป
โจวเอ้อมองฉินซีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ลู่เซิ่นคงรักคุณมากจริงๆ”
น้ำเสียงของเขาดูขี้เล่น แต่ดวงตาของเขากลับมีความอิจฉาแฝงอยู่
ฉินซีรู้สึกสังหรณ์ใจว่าโจวเอ้อ คงมีความหลังเหมือนกัน ตอนนี้ เธอกับเจ้าโจวเอ้อก็ไม่ได้สนิทกันพอที่จะ แลกเปลี่ยนเรื่องราวส่วนตัวให้ฟังกัน… ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องกลับไปถามลู่เซิ่น
ดังนั้นฉินซีจึงระงับความอยากรู้อยากเห็นในใจเอาไว้ ก่อนลุกขึ้นยืน “ฉันไปก่อนนะคะ”
โจวเอ้อโบกมือลาเธออย่างเกียจคร้าน “คนที่มาส่งคุณ เขารออยู่ตรงหน้าประตูแล้วครับ”
ฉินซีพยักหน้า “ขอบคุณเถ้าแก่โจวที่ให้การต้อนรับค่ะ”
โจวเอ้อเหล่ตามายังเธอ ก่อนยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจครับ คุณให้คำแนะนำผมตั้งแยะ ครั้งหน้าถ้ามีเครื่องดื่มอะไรใหม่ๆ คุณจะมาไหม?”
ฉินซียิ้มก่อนตอบ “แน่นอนค่ะ”
ทั้งสองล่ำลากันสักพัก โจวเอ้อไม่ได้ลุกขึ้นเพื่อไปส่งเธอ เป็นฉินซี่ผลักประตูออกไปเอง
คนขับรถมารออยู่ตรงหน้าประตูแล้วจริงๆ เธอพยักหน้าให้เขา ก่อนที่เขาจะพยักหน้าตอบรับและพาเธอกลับไปเงียบๆ
การจราจรบนถนนราบรื่นกว่าปกติ ไม่นานฉินซีก็พักประตูห้องเข้ามาภายในหอพักของเธอ
เธอแขวนเสื้อคลุม ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นรับสายทันที
“ถึงบ้านแล้วเหรอ?”สีหน้าของลู่เซิ่นดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเพิ่งเสร็จจากการประชุม
ฉินซีพยักหน้า “ใช่ เพิ่งมาถึงเลย”
“โจวเอ้อพูดอะไรกับคุณบ้าง”” ลู่เซิ่นไม่อ้อมค้อม เขาถามไปตรงๆ
ฉินซีลังเล แต่เธอก็เลือกที่จะพูดความจริง “เขาเล่าเรื่องระหว่างเวินจิ้งกับมู่วี่สิง และยังบอกด้วยว่าเร็วๆนี้มู่วี่สิงจะสร้างปัญหาให้ฉัน”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว “เขาไม่ได้โน้มน้าวให้คุณสร้างปัญหาให้ทั้งคู่?”
ฉินซีนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้า “ใช่”
ใบหน้าของลู่เซิ่นเครียดขึ้นเล็กน้อย “คุณรับปากไปเหรอ?”
ฉินซีเงียบ
แม้เธอจะไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่ … มันก็แอบใจเต้นเล็กน้อย
มู่วี่สิงกำลังรังแกตัวเอง และถ้าให้อดทนมันก็ไม่ใช่สไตล์ของเธอ
“อย่าใจร้อน” น้ำเสียงของลู่เซิ่นจริงจัง “ตระกูลมู่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด”
ฉินซีนิ่งไปนิด ก่อนถาม “คุณรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรกับฉันใช่ไหม?”
ลู่เซิ่นเงียบ ก่อนจะพยักหน้า
ฉินซีขมวดคิ้ว “เขาต้องการให้ฉันออกไปจากเมืองหนาน นี่คุณไม่โกรธเลยเหรอ?”
ลู่เซิ่นมองไปยังฉินซี เขารู้ว่าคืนนี้เธอดื่มมา เลยมีความรู้สึกกระวนกระวาย จึงพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“แน่นอนว่าผมอยู่เฉยๆไม่ได้แน่ แต่ผมรู้ ว่าข้างกายคุณยังมีผม องค์กรก็หนุนหลังคุณอยู่ ถึงตระกูลมู่จะมีอำนาจแค่ไหน แต่เขาก็ทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้หรอก ”
ฉินซีลดสายตาลงต่ำ “ลู่เซิ่น มู่วี่สิงนี่เป็นนักบุญจริงๆเลยนะ ภรรยาของเขาได้ชื่อว่าเป็นเมียของคุณ แต่เขายังจะทำเพื่อเวินจิ้งอยู่ได้อีก”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
… น้ำเสียงของฉินซีดูแปลกไป
“แต่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงไร้ประโยชน์เหมือนเวินจิ้ง” ทันใดนั้นฉินซีก็ยิ้ม ก่อนเงยหน้าขึ้น “ถ้ามีใครรังแกฉัน ฉันไม่ต้องการให้คนอื่นมาต่อสู้เพื่อฉัน”
ในที่สุดลู่เซิ่นก็รู้ว่าเวินจิ้งคิดอะไรอยู่
แม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอไม่สนใจ แต่ … เธอคงอิจฉา ที่มีคนสู้เพื่อเวินจิ้งอย่างไม่กลัวอันตรายได้ขนาดนี้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ลู่เซิ่นก็ถอนหายใจเบาๆ “ฉินซี ถ้าหากคุณอยากจะทำอะไร ก็บอกผมล่วงหน้า”
น้ำเสียงของเขานุ่มนวลมาก ฉินซีรู้ทันทีเลยว่า เขากำลังประนีประนอม แต่ในใจเธอกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอทำเพียงแค่ตอบไปด้วยน้ำเสียงติดงัวเงีย “โอเค”
“พักผ่อนเถอะ ก่อนนอนคุณดื่มน้ำผึ้งด้วยล่ะ ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว” ลู่เซิ่นพูดจบ เมื่อเห็นฉินซีพยักหน้าตอบรับ จึงวางสายไป
ถึงแม้เธอจะรู้สึกไม่เมา เหล้านี้มันไม่ได้แรงอะไรขนาดนั้น แต่หลังจากอาบน้ำเสร็จความง่วงก็ถาโถมเธอ จนผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้นเมื่อฉินซีลืมตา และค่อยๆมีสติขึ้น เธอถึงพึ่งรู้ตัวว่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นลงไป
เวลายังมีอยู่ เธอไม่ได้รีบร้อนโทรหาลู่เซิ่น เพียงแค่ลุกขึ้นมานั่ง หยีตาคิดอะไรสักพัก
มันก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่จะบอกว่าเมื่อคืนเธอมีอาการหุนหันพลันแล่น แต่เธอจะไม่พูดแน่ถ้าไม่มีฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มลงไป
แต่ถ้าหากพูดว่ามันรีบร้อนทั้งหมด ก็ไม่ใช่
เรื่องที่มู่วี่สิงดูแลปกป้องเวินจิ้งดีเกินไป เธอไม่ใช่ไม่อิจฉา แต่เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับเธอ สุดท้ายเธอก็อุทานออกมาเบาๆ “รักแท้จริงเลยนะ”
แต่เรื่องที่จะมาหาเรื่องเธอ แล้วจะให้นั่งรอ ก็ไม่ใช่วิถีของเธอเหมือนกัน
แต่ ปมของเรื่องนี้จะแก้ยังไงดี
ฉินซีหลับตาลง นึกถึงสิ่งที่โจวเอ้อพูดเมื่อวาน
มู่วี่สิงกับเวินจิ้งต่างก็รักกันมาก แต่กลับหลบหน้าไม่พูดความจริงกัน คิดว่าจะมีความลำบากมารออยู่ตรงหน้า ที่จริงแล้วคือพวกเขาก็แค่ขาดคนเชื่อมเท่านั้น
ฉินซีลืมตา ยิ้มหยีออกมา
…… แต่เธอก็ยังคงลังเล ว่าจะช่วยดีหรือไม่
เกือบในเวลาเดียวกันโทรศัพท์มือถือของฉินซีก็ดังขึ้น
แน่นอนว่าไม่ใช่คนอื่นไกล ลู่เซิ่นนั้นเอง
“ตื่นแล้วเหรอ” พื้นหลังของลู่เซิ่นมืดมาก เขาอาจจะกำลังอยู่บนเครื่องบิน
ฉินซีพยักหน้า “เพิ่งตื่น”
เธอคิดว่าลู่เซิ่นจะหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนาที่เธอพูดเมื่อคืน ไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดตรงๆออกมา “อืม เป็นยังไงบ้าง คิดวิธีเอาคืนเขาได้หรือยัง?”
ฉินซีเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกไปในเวลาต่อมา “คือฉัน ฉันมีความคิดบางอย่าง”
ลู่เซิ่นแสดงความสนใจออกมา “พูดให้ผมฟังหน่อยสิ”
ฉินซีขบริมฝีปากของตัวเอง ลังเลอยู่สักพัก
เรื่องที่เธอต้องการช่วยเหลือเวินจิ้งกับมู่วี่สิง มันก็ใช่ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เวินจิ้งก็เป็นภรรยาของลู่เซิ่นอยู่ เขาจะยอมรับได้หรือไม่