บทที่ 1344 ปฏิเสธ
เมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์กัน แน่นอนว่าจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในอีกฝ่าย
แต่แค่เพียงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่หวั่นไหว แน่นอนว่าเป็นการหลงตัวเอง
จ้านเซินแทบจะไม่รู้อะไรเรื่องนี้เลย มองเข้าไปในดวงตาของฉินซีเขียนคำว่า “ฉันรู้ว่าเธอจะไม่ปฏิเสธฉัน”
สมองของเธอหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว
จะโพล่งคำปฏิเสธออกมาอีกครั้งหรอ?
ฉินซีไม่ได้กลัวว่าจะทำลายความสัมพันธ์กับจ้านเซินโดยสมบูรณ์ เธอไม่สนใจอย่างยิ่งว่าจ้านเซินจะคิดกับเธออย่างไร
สิ่งที่เธอกลัวคือ…..
ทั้งห้องว่างเปล่า มีเพียงพวกเขาสองคน ห้องรับรองปิดม่านลง แสงมืดมิด มีแค่ฉินซีกลับจ้านเซิน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ฉินซีมองเห็นถึงความกระหายที่กระตือรือร้นในสายตาของจ้านเซิน
สัญชาตญาณของผู้ชาย
ถ้าตอนนี้เธอปฏิเสธไป จ้านเซินภายใต้การกระตุ้น จะโผเข้ามาทำอะไรอย่างไม่สนอกสนใจไหม?
ฉินซีไม่กล้าลอง
ทักษะการต่อสู้ของเธอฟื้นตัวได้ดีหลังจากการพักฟื้นเป็นเวลานาน แต่อยู่ต่อหน้าจ้านเซิน มีแต่ความไม่เพียงพอ
ถ้าเขาจะทำอะไรตนขึ้นมาจริงๆ ฉินซีไม่อาจแน่ใจได้ว่าตนเองจะหนีได้
ในกรณีที่หนีไม่ได้…..
นึกถึงผลลัพธ์แบบนี้ ฉินซีก็รู้สึกตัวเย็น
ตอนนี้เธอมีลู่เซิ่น ไม่อาจกระทำเรื่อง ไม่สามารถทำเรื่องที่อาจเกินการควบคุมได้
ดังนั้นฉินซีจึงปล่อยความคิดที่จะปฏิเสธจ้านเซินไป
แต่มีวิธีอะไร จะไม่ทำให้จ้านเซินโมโห แล้วยังปฏิเสธได้อีก?
คิ้วของฉินซีขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จ้านเซินราวกับพบท่าทางสับสนของเธอแล้ว ยิ่งเดินหน้าเข้าใกล้อีก
ฉินซีรู้ว่าตนไม่อาจไม่พูดอะไรได้แล้ว
“จ้านเซิน” เธอถอนหายใจเบาๆ “ไม่ว่ายังไง อย่างแรกเลยฉันเป็นคนคนหนึ่ง”
จ้านเซินชะงักไปสองสามวินาที ใบหน้ามีความสับสนเขียนอยู่ “หมายความว่ายังไง?”
ฉินซีเม้มปาก “ถึงแม้นายจะยอมรับการขัดขืนและความไม่ชอบของฉันได้ แต่ฉันรับไม่ได้”
ทันใดนั้นสีหน้าของจ้านเซินก็จมดิ่งลง
แต่ก่อนที่เขาจะเปิดปาก ฉินซีรีบพูดเสริม “ฉันไม่สามารถตอบรับความใกล้ชิดของนายได้ในทันที”
สายตาของจ้านเซินเป็นประกาย เหมือนจับช่องโหว่อะไรได้ เอ่ยปากพูด “ไม่สามารถทำได้ทันที….ก็แปลว่าหลังจากนี้ทำได้”
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ชอบใช้ประโยคคำถาม ในทุกๆท้ายประโยคล้วนเป็นน้ำเสียงที่เด็ดขาด ทำให้ฉินซีไม่มีโอกาสที่จะหักล้าง
มุมปากของเธอยืดเป็นเส้นตรง ไม่ได้ตอบ
ใบหน้าของจ้านเซินกลับเผยรอยยิ้มออกมาช้าๆ
“ฉันจะให้เวลาเธอปรับตัว แม้ว่าตอนนี้เธอปรับตัวเข้ากับฉันไม่ได้ ก็จะยอมรับฉันได้อย่างช้าๆ”
ตอนที่เขาพูดคำนี้ไม่ได้มองไปที่ฉินซี เป็นธรรมดาที่จะมองไม่เห็นความรังเกียจที่แวบขึ้นบนใบหน้าของเธอ
เธอรังเกียจน้ำเสียงที่มั่นใจในตัวเองแบบนี้ของจ้านเซิน รังเกียจท่าทีที่จ้านเซินกำเธอไว้กลางฝ่ามือ
ความรักคือเรื่องทั้งสองคน เป็นกระทั่งการร่วมมือซึ่งกันและกัน และอย่างน้อยก็เคารพซึ่งกันและกัน
แต่ในด้านของจ้านเซิน เห็นได้ชัดว่าไม่มีความคิดนี้อยู่
เขาเพียงแต่พูดเองเออเอง ก็ตัดสินใจแล้ว “แต่ถ้าจะให้เธอปรับตัว ผมก็ต้องมาหาเธอบ่อยๆใช่ไหม? ผมเช็คดูกำหนดการช่วงสองสามวันนี้—-“
“จ้านเซิน” ในที่สุดฉินซีก็ทนไม่ไหวแล้ว ขึ้นเสียงตัดบทเขา “ฉันต้องการการเตรียมพร้อมของจิตใจ นายไม่อยู่จะดีกว่าหน่อย”
สัญชาตญาณของจ้านเซินรู้สึกไม่ถูกต้อง แต่มองดูท่าทีเลิกคิ้วของฉินซี ชั่วขณะหนึ่งไม่ได้หักล้างในทันที มีเพียงแค่ความสับสน พูดทวนอีกรอย “ฉันไม่อยู่…..จะดีกว่าหน่อย?”
ใจของฉินซีหงุดหงิดไม่น้อย น้ำเสียงก็ไร้ความหนักเบา เดินไปทางประตูแล้วออกไป “ฉันอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
พูดจบ ก็ไม่มองสีหน้าของจ้านเซิน เดินออกไปทางด้านนอก
จ้านเซินเดินตามไปสองก้าวด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็กำหมัดโดยอธิบายไม่ได้ให้ตนเองหยุดขาลง
…..แผ่นหลังของฉินซีดูเหมือน มีความหมายของความเด็ดขาด
ถ้าตนเดินตามไป เธอน่าจะโกรธหรือเปล่า?
จ้านเซินใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยสนใจว่าความรู้สึกของผู้อื่นจะเป็นยังไง ตอนนี้กลับตัดสินใจไม่ไล่ตามไปอย่างอธิบายไม่ได้
ถึงอย่างไรก็อยากให้เธอปรับตัวเข้ากับตน จ้านเซินคิด จะดีกว่าถ้าไม่ทำให้เธอโมโห
……
ฉินซีก้าวเดินอย่างรวดเร็ว
เธอเตรียมตัวพร้อมสำหรับจ้านเซินเดินตามออกมา ดังนั้นจึงวางแผนว่าก่อนที่เขาจะออกมาจะกลับไปที่ห้องของตน
หลังจากปิดประตู คงไม่หนังหน้าหนาตามเข้ามาอีกหรอกนะ!
แต่เหนือความคาดหมาย จ้านเซินไม่ได้ตามออกมา
ฉินซีถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ยังล็อกประตูห้อง
นั่งลงบนโซฟา เธอยกมือขึ้นจับขมับตนเอง
—-ทำไมจู่ๆเรื่องมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้?
เธอรู้ว่าตนเองไม่มีวันที่จะยอมรับการใกล้ชิดระดับใดก็ตามของจ้านเซินได้เด็ดขาด
ไม่ต้องพูดถึงที่เธอมีลู่เซิ่นอยู่แล้ว เพียงแค่คนอย่างจ้านเซิน ก็ทำให้ฉินซียอมรับไม่ได้
แต่ว่า…..ตอนนี้พูดออกมาเป็นแบบนี้ รอบต่อไปเธอควรจะออกสนามอย่างไร?
การปฏิเสธรอบต่อไป ควรจะอยู่ในสถานการณ์ไหนถึงพูดออกมาได้?
ฉินซีรู้สึกปวดหัวทันที มือเอื้อมไปที่โทรศัพท์มือถือ
เธออยากโทรไปหาลู่เซิ่น
แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แค่ได้ฟังเสียงของลู่เซิ่น ก็เพียงพอให้เธอสงบลงได้บ้าง
หมายเลขก็กดไปเรียบร้อยแล้ว เธอเงยหน้ามองเวลา ยังคงไม่ได้ต่อสายไป
เธอไม่แน่ใจว่าลู่เซิ่นตอนนี้อยู่ที่ไหน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าโทรไปหาตอนนี้จะรบกวนเขาหรือเปล่า
นอกจากนี้…..พวกเขาสองคนมักจะโทรคุยกันในตอนเช้ากับตอนเย็น ถ้าตอนนี้จู่ๆฉินซีโทรไปหา ลู่เซิ่นจะต้องพบจุดที่ผิดปกติได้แน่นอน
…..ฉินซียังไม่อยากพูดกับลู่เซิ่นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปสักระยะ
ในใจของเธอยังคงสับสน ไม่แน่ใจว่าสามารถอธิบายให้ลู่เซิ่นฟังอย่างชัดเจนได้ไหม
มองไปที่บานประตู ด้านนอกนั่นคือจ้านเซิน
คิ้วของฉินซีขมวดแน่น
หลบอยู่ที่นี่ได้เพียงครู่เดียวไม่อาจหลบไปตลอดได้
รอตนออกไปแล้ว จะจัดแจงคำพูดยังไง?
ฉินซีสับสนขึ้นมาอีกครั้ง
แต่รอได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสะท้อนมาจากประตูใหญ่ชั้นล่าง ตามมาด้วยเสียงสตาร์ทรถ
ฉินซีชะงัก ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
…..รถคันนั้นที่จอดอยู่หน้าประตูค่อยๆขับออกไปที่มุมถนน
จ้านเซินไปแล้ว?
ทำไมเขาถึงจากไปง่ายดายแบบนี้?
ในตอนที่ฉินซีกำลังสงสัย มือถือก็สั่นขึ้นเบาๆ
เธอก้มหน้าลงมอง เป็นข้อความหมายหนึ่งข้อความ
ผู้ส่งคือจ้านเซิน
“ฉันให้เวลาเธอ คิดให้ดีๆ”
เป็นแค่คำไม่กี่คำแท้ๆ แต่ฉินซีกลับแทบจะรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงของจ้านเซินผ่านข้อความนี้
ในตอนนั้นมือของเธอก็กำแน่นทันที ขบฟันแน่นโดยไม่รู้ตัว
ข้อความนี้ของจ้านเซิน ต่างยังไงกับการคุกคาม?
คิ้วของฉินซีขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าจมดิ่ง
……
ถูกจ้านเซินก่อกวนขนาดนี้ จิตใจที่อยากออกไปเดินเล่นของฉินซีก็ไม่มีแล้ว อาหารกลางวันก็กินไปแค่นิดหน่อย ไม่มีความอยากอาหาร
เธอนั่งอยู่ในห้อง อยากที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง แต่กลับอดไม่ได้ที่จะคิด—-
ท้ายที่สุดแล้วฉันควรทำยังไง?
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง ฉินซีกลับได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
คิ้วของเธอกระตุกขึ้นทันที ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
—-จ้านเซินกลับมาแล้ว