บทที่ 1354 ไปในทางที่ดี
ฉินซีคิดมาโดยตลอดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่มองคนอื่นที่หน้าตา แต่ตอนนี้ค้นพบแล้วว่า แท้จริงแล้วเธอก็เป็นคนที่หลงใหลคนอื่นที่หน้าตาเช่นกัน
“หืม?”
เมื่อได้ยินเสียงของจ้านเซิน ฉินซีก็กลับมามีสติทันที
เธอมองตรงไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาของจ้านเซิน ราวกับไม่รู้จักคำว่าเขินอาย
เหมือนฉินซีจะนึกอะไรได้บางอย่าง เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าทันทีและกอดเอวของจ้านเซินไว้แน่น “รีบไปเถอะ ที่นี่มีหมาป่าอยู่”
ฉินซียังคงมึนงง หมาป่าที่หิวโหยดุร้ายตัวนั้น วิ่งไปที่ไหนแล้ว
แต่ในขณะที่เธอพุ่งตัวไปยังจ้านเซินนั้น เธอก็ตกใจกับซากศพที่อยู่บนพื้น
เขาฆ่าหมาป่าที่ดุร้ายและหิวโหยด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่เมื่อไร
หรือว่าเมื่อครู้นี้เธอจะหลับไป……
ฉินซีไม่อยากจะเชื่อ เธอยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมึนงง และไม่คิดว่าจ้านเซินจะกล้าหาญมากขนาดนี้
แม้จะเห็นได้ชัดจากร่างกายของจ้านเซินว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่ว่ามันก็ยังเหนือจินตนาการของฉินซีอยู่ดี อีกทั้งจ้านเซินเองก็ดูนิ่งเฉย ไม่รู้ว่าเขากำลังกลัวอยู่หรือเปล่า
หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าที่นี่ปลอดภัย ฉินซีก็เอ่ยขึ้น“นั่น…..ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉัน”
มารู้ตัวอีกที ฉินซีกำลังบิดตัวไปมา
จ้านเซินมองไปยังใบหน้าของเธอที่เปื้อนโคลนสีดำ พลางขมวดคิ้ว
ถึงแม้ใบหน้าของฉินซีจะสกปรก แต่จากเซ้นส์แล้วก็พอจะดูออกว่าเธอคือสาวน้อยหน้าตาสะสวย และคาดว่าเมื่อโตขึ้น จะต้องเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีอย่างแน่นอน
แต่ว่า จ้านเซินไม่ใช่คนที่จะเคลิบเคลิ้มไปกับความสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
จ้านเซินให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น หลังจากที่ร่างกายของฉินซีระเบิดพลังความสามารถออกมา
เขาถูกพ่อแม่เลี้ยงดูให้เป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมองจากมุมมองของจ้านเซิน ฉินซีเป็นลูกน้องที่ไม่เลว เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการเลี้ยงดูให้เหมาะสม ในอนาคตจะต้องมีโอกาสได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่แน่นอน
นี้คือเหตุผลว่า เพราะอะไรจ้านเซินถึงช่วยชีวิตเธอไว้
ฉินซีไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยในเวลานั้น และดูเหมือนว่าจ้านเซินยังไร้เดียงสามาก คิดไม่ถึงว่าเขามีความคิดมากมาย และก็เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองในตอนที่ยังเป็นเด็ก มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
ส่วนทางด้านฉินซีเองก็กำลังคิดถึงอดีต
อีกด้านนึง ลู่เซิ่นที่ไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆได้
เขาเดินไปรอบๆทั่วห้อง ใบหน้าซีดเซียว
หลังจากที่โจวเอ้อเห็นเขาวางสายโทรศัพท์แล้วกลายเป็นคนเงียบขรึม ก็รู้สึกเป็นกังวล
เขาอดที่จะเดินไปถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นอะไรไป”
โจวเอ้อรับรู้ได้ว่าลู่เซิ่นผิดแปลกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเขา แท้จริงคือเรื่องอะไรกันแน่
“ฉันกำลังคิดหาวิธีที่จะช่วยฉินซีให้ออกมาได้เร็วที่สุด”
แม้จะรู้ว่าตอนนี้ฉินซียังอยู่กับโจวซิง คาดว่าไม่น่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่แค่เธอต้องอยู่ข้างกายจ้านเซินเพิ่มอีกหนึ่งวัน ความทุกข์ในใจของลู่เซิ่นก็มาขึ้นเท่าตัว
โจวเอ้อ รับรู้ถึงความกังวลในใจเขา เขาตบไปที่ไหล่ของลู่เซิ่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องนี้เราต้องวางแผนกันอีกยาว วางใจเถอะ มีโจวซิงอยู่ล่ะก็ เขาต้องดูแลฉินซีเป็นอย่างดีแน่นอน ”
เขาเข้าใจความคิดของลู่เซิ่น แต่ว่าภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ แต่ถ้าลู่เซิ่นบุ่มบ่ามยื่นมือเข้าไป มันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น และจ้านเซินก็ยังเป็นอีกคนที่คล่องแคล่วว่องไวมาก
เพียงสายลมพัดต้นหญ้าขยับเล็กน้อย เขาก็สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด
ถ้าถูกจ้านเซินเจอตัวจริงๆ และกลัวว่ามันจะเป็นการยากที่อยากจะช่วยฉินซีออกมาหลังจากนั้น
“อืม”
ลู่เซิ่นพยักหน้ารับ เขารู้ดีว่าไม่ควรทำอะไรผลีผลาม
คำพูดถัดไป ทำให้โจวเอ้อรู้สึกว่ามันไม่ง่ายดาย
“นายพูดกับโจวซิงให้ที ว่าคิดหาวิธีจัดการให้ฉันได้เจอกับฉินซี ”
ลู่เซิ่นที่เพิ่งได้ยินว่าฉินซีกำลังร้องไห้อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เขาก็รู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อนึกถึงที่เธอร้องไห้ท่ามกลางสายฝน เขาก็ยิ่งเจ็บปวด
เขาอยากเจอฉินซีอีกครั้ง และกอดเธอไว้แน่นๆ ให้เธอสงบลง
“นาย……”
โจวเอ้อเปิดปาก ที่จริงแล้วอยากจะพูดว่า ถึงนายได้พบฉินซี แต่ก็ไม่สามารถพาเธอหนีได้ มีแต่จะเพิ่มความโศกเศร้าให้เธอเท่านั้น
แต่ว่า เมื่อนึกถึงสภาพจิตใจของทั้งสองคนแล้ว ประกอบกับสภาพจิตใจของฉินซีที่แตกต่างจากคนทั่วไปแล้วด้วย โจวเอ้อจึงเลือกที่จะไม่พูดออกไป
“อะไร”
ลู่เซิ่นที่เห็นว่าเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วจู่ๆก็เงียบไป เขาขมวดคิ้วเผยสีหน้าที่ไม่เข้าใจออกมา
เขาไล่ถาม แต่โจวเอ้อได้เปลี่ยนความคิดไปแล้ว
ในตอนนี้ ฉินซีและลู่เซิ่นลำบากมามากพอแล้ว โจวเอ้อ ก็ไม่อยากทำให้ทั้งสองคนรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้
โจวเอ้อส่ายหัว “ไม่มีอะไร ฉันจะบอกโจวซิงให้เขาดูการจัดเตรียมให้เรียบร้อย ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเมื่อไหร่ พวกเราทำได้แค่เพียงอดทนรอ ”
ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ จ้านเซินไม่มีทางตีตัวออกห่างจากตัวของฉินซีอย่างแน่นอน
จากคำพูดของโจวซิงที่พูดเมื่อครู้นี้ จ้านเซินไม่ยอมส่งฉินซีไปโรงพยาบาลแน่นอน
เห็นได้ชัดว่า จ้านเซินต้องการให้ฉินซีอยู่ติดกับเขา และไม่ให้เธอติดต่อกับโลกภายนอก
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การที่ให้ลู่เซิ่นและฉินซีได้เจอกัน นั้นยากกว่าการขึ้นไปบนฟ้าเสียอีก
คาดว่าตอนนี้จ้านเซินน่าจะสั่งคนให้สอดแนมอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อเฝ้าดูฉินซี ให้อยู่ในคำสั่ง และไม่ให้หนีไปจากการควบคุมขององค์กร
เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของฉินซี โจวเอ้อก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทั้งยังเด็กและสะสวย กลับต้องมีครึ่งชีวิตที่ที่น่าหดหู่แบบนี้ ช่างน่าเศร้าจริงๆ
ลู่เซิ่นเห็นว่าเขารับปากแล้ว ในใจของลู่เซิ่นก็สงบลงไม่ใช่น้อย “โอเค นายให้โจวซิงปกป้องความปลอดภัยให้ฉินซีต่อไป ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฉินซี เพราะอย่างนั้นจะต้องไม่เสี่ยง”
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉินซีล่ะก็ เขาที่ยอมทำทุกอย่างในตอนนี้ ก็จะไม่มีความความหมายอะไรเลย
โจวเอ้อรู้ว่าฉินซีมีความสำคัญกับเขามากขนาดไหน เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “วางใจเถอะ ตอนนี้ยังมีโจวซิงอยู่”
แม้ว่าโจวซิงจะดูเหมือนเด็กมาก ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่มีความรู้สึกรับผิดชอบสูงมาก
มิฉะนั้น โจวเอ้อก็คงไม่ให้มอบหน้าที่ที่มีความสำคัญขนาดนี้ให้เขาทำหรอก
“อืม”
“นายกลับไปเถอะ ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในหัวของลู่เซิ่นตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยฉินซี เขาไม่สามารถเฝ้าต้นไม้และรอกระต่ายได้อีกต่อไป
โจวเอ้อไม่ได้รบกวนเขาอีก พลางหันตัวช่วยเขาปิดประตูห้องสมุดและเดินออกไป
ปล่อยลู่เซิ่นนั่งที่ด้านหน้าโต๊ะทำงานไว้คนเดียว
เขาเปิดโทรศัพท์ และใส่รหัสผ่าน
นิ้วที่เรียวยาวกำลังเคาะบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว และส่งเสียงแหลมชัด
ลู่เซิ่นมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ ในดวงตาสีดำเข้มได้เปล่งประกายแสงที่คลุมเครือออกมา
รหัสปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ทีละแถวทีละแถว หากคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้แค่มองไม่นานก็รู้แล้วว่าลู่เซิ่นกำลังถอดรหัสของโปรแกรมอยู่
ใช่แล้ว
ลู่เซิ่นกำลังจะเจาะเข้าระบบเครือข่ายของโรงพยาบาล
เขาต้องการหาแบบแปลนของโรงพยาบาล จากนั้นก็ตรวจสอบที่อยู่ห้องพักผู้ป่วยของฉินซี และหาวิธีที่สามารถแอบเข้าไปห้องฉินซีอยู่เพื่อเจอหน้าเธอ โดยที่ไม่โดนจ้านเซินจับได้
นิ้วมือที่เรียวเล็กของลู่เซิ่นได้หยุดชะงัก เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “หาเจอแล้ว!”