เดิมทีจ้านเซินต้องการให้เหยาจ้าวเริ่มทำการสะกดจิตให้กับฉินซี
แต่ว่าในขณะที่เขาอยากจะอ้าปากพูดนั้น จู่ๆคำพูดของโจวซิงเมื่อสักครู่ได้แวบเข้ามาในหัวของจ้านเซิน
ถึงแม้ว่าจ้านเซินยังคงมีความสงสัยโจวซิงอยู่ แต่คำพูดของเขาก็ได้ส่งผลให้กับจ้านเซินจริงๆ
จ้านเซินครุ่นคิด: “เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกเลย ถ้ามีเหตุการณ์ที่ผิดปกติ ก็ให้หยุดทำการทดลองทันที เข้าใจไหม”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการกดดันแกมบังคับ แล้วจ้องดวงตาของเหยาจ้าวที่เปล่งประกายด้วยแสงสลัวๆ
ครั้งนี้ จ้านเซินเริ่มเกิดอาการหวั่นไหวแล้ว
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ เหยาจ้าวก็ประหลาดใจเล็กน้อย
แม้แต่ฉินซีก็คิดไม่ถึงว่าจ้านเซินจะมีความปรานีต่อเธอ
ในใจเธอตอนนี้มีความรู้สึกสับสน ที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เหยาจ้าวเป็นคนแรกที่มีการตอบสนองขึ้น : “ครับ”
เขามองไปทางฉินซี และจ้องดวงตาของเธอ จากนั้นค่อยๆพูดขึ้น : “ฉินซี ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ร่างกายมีไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า มีความรู้สึกเวียนศีรษะหรือไม่”
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามทั่วไป ที่ใช้ในการเปิดใจผู้ป่วย
ใช้วิธีที่เข้าถึงผู้ป่วยได้ง่ายในการติดต่อสื่อสาร ทำให้เธอไม่รู้สึกว่ากำลังพบแพทย์ แต่รู้สึกว่ากำลังคุยสนทนากับเพื่อน ทำให้ผู้ป่วยค่อยๆผ่อนคลาย เพื่อเตรียมพร้อมในการดำเนินการสะกดจิต
ขอเพียงได้รับความวางใจจากผู้ป่วย เมื่อถึงเวลาก็จะสามารถทำให้ผู้ป่วยพูดความคิดที่อยู่ข้างในให้กับเขาได้อย่างราบรื่น
เห็นได้ชัดเจนว่าเหยาจ้าวนั้นทำเรื่องนี้ได้ดีกว่า โจวซิง
การเริ่มต้นทั้งหมดนี้ ไม่รู้ว่าฉินซีได้ผ่านมากี่ครั้งกี่หนแล้ว
เธอเข้าใจดี หากต่อต้านในตอนนี้ ก็มีแต่ทำให้เสียเวลา เสียพลัง ดังนั้นเวลาที่เผชิญหน้ากับคำถามของเหยาจ้าว เธอจึงตอบไปทุกอย่าง : “ตอนนี้ฉันรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แขนขาอ่อนล้า เวียนศีรษะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นรุนแรง”
ฉินซีเตรียมที่จะเก็บพลังทั้งหมดไว้ทีหลัง ไม่ว่าจะอย่างไร ครั้งนี้เธอจะต้องต้านให้อยู่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มือของฉินซีที่อยู่ในผ้าห่มก็ได้กำแน่น
เหยาจ้าวรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเธอได้อย่างชัดเจน เธอขยิบตาขึ้น แต่ไม่มีการพูดจาใดๆ
เขาจึงถามต่อไปอย่างต่อเนื่อง : “ครั้งก่อนที่โจวซิงทำการสะกดจิตให้กับคุณนั้น ทำไมอยู่ๆคุณถึงได้ล้มลง สามารถบอกสาเหตุกับผมหน่อยได้ไหม”
เหยาจ้าวเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนหลัก คำถามนี้ถามได้อย่างเฉียบคมมาก
เห็นได้ชัดว่าฉินซีรับรู้สึกถึงจ้านเซินที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเหยาจ้าวพูดแบบนี้ ทั้งตัวถึงกับนั่งตัวเหยียดตรง แสดงให้เห็นว่าเขาสนใจกับคำถามนี้มาก
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบไปอย่างนิ่งๆ : “ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสาเหตุใดเช่นกัน ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองที่อยู่ในความฝันนั้น เหมือนกำลังเดินอยู่บนสะพานแขวน ด้านหน้าปกคลุมไปด้วยหมอก ฉันจึงวิ่งไปข้างหน้า แต่วิ่งเท่าไหร่ก็วิ่งไปไม่ถึงปลายทาง ในขณะที่ฉันหยุดเพื่อพักหายเหนื่อย จู่ๆสะพานแขวนก็ได้หักลง”
ฉินซีขยิบตาขึ้นเผยความใสซื่อบริสุทธิ์ออกมา : “จากนั้นฉันจึงวิ่งอย่างล้มลุกคลุกคลาน และร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่หยุดหย่อน จนฉันได้ยินเสียงของหมอโจวเรียกชื่อของฉัน ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ฉันจำไม่ได้แล้ว”
เธอเอ่ยปากพูดเท็จบ้างจริงบ้าง และไม่ได้พูดเรื่องราวออกมาทั้งหมด เธอปิดบังเรื่องที่เธอเห็นลู่เซิ่นในความฝันเอาไว้ ท่าทางและการหายใจของเธอดูนิ่งปกติ ไม่มีลักษณะของคนที่กำลังโกหก”
นี่เป็นเทคนิคที่เธอเรียนรู้จากการทำทดลองหลายๆครั้งในปีนั้น เพื่อใช้ในการต่อต้านการทดสอบทางจิตวิทยาเช่นนี้
ถ้าหากโกหกอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ อย่างนั้นมักจะมีช่องโหว่ แต่ถ้าพูดจริงบ้างเท็จบ้าง แบบนี้ จะยิ่งทำให้คนสับสนและเชื่อได้ง่ายกว่า
เมื่อจ้านเซินได้ยินเธอพูดเช่นนี้ จึงหรี่ตาขึ้น ไม่มีการพูดจาใดๆ
คำพูดของฉินซีกับคำที่โจวซิงพูดกับเขาในวันนั้นไม่มีความแตกต่างกัน
คนที่ถูกสะกดจิต ก็มักจะมีหลายสาเหตุที่ทำให้ไม่แน่ใจ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็มักจะมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอ ดังนั้นความทรงจำจึงมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อย หรือว่าจำเรื่องราวได้ไม่ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร
“ครับ”
เหยาจ้าวก็ไม่มีการคัดค้าน เหมือนว่าแค่สนใจกับคำถามนี้ ถึงได้ถามมากหน่อยเท่านั้น
ฉินซีไม่รู้ว่าคำตอบของตัวเองเมื่อสักครู่นั้นจะสามารถตบตาเหยาจ้าวกับจ้านเซินได้ไหม เธอรู้เพียงแต่ว่าช่วงเวลาต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เธอจะต้องทำจิตใจให้มั่นคง จะระส่ำระสายไม่ได้
“ฉินซี! สู้ๆ!”
ฉินซีให้กำลังใจตัวเองเงียบๆในใจ
แม้จะเป็นการทำเพื่อลู่เซิ่น เพื่อชีวิตที่ดีของเธอในอนาคต เพื่อการถอนตัวออกจากองค์กร เธอจะต้องยืนหยัดสู้ต่อไป
เหยาจ้าวรับรู้ถึงการบีบแน่นของร่างกายเธอ หลังจากที่เดินเข้ามาจากประตู ก็ไม่เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก : “ต่อไปเราจะเข้าสู่กระบวนการการสะกดจิตในขั้นตอนแรก คุณวางใจได้ ไม่ยากเลย ล้วนเป็นสิ่งที่คุณเคยทำมาก่อนหน้านี้ ไม่มีอันตรายใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงแค่คุณเชื่อใจและปล่อยตัวเองไปกับผม เล่าทุกอย่างที่เห็น ที่ได้ยินทั้งหมดให้กับผม”
น้ำเสียงของเขายิ่งพูดยิ่งอ่อนโยน พร้อมกับลมหายใจที่น่าหลงใหล
ถ้าหากเป็นผู้ป่วยรายอื่น ก็คงจะเคลิ้มไปกับท่าทางของเหยาจ้าวในตอนนี้แล้ว
แต่ว่าฉินซีผู้ผ่านการทดสอบมานับครั้งไม่ถ้วน ยังคงรักษาท่าทางให้สงบนิ่ง
เธอแสร้งทำเป็นเหมือนว่ากำลังเข้าสู่ภาวะการถูกสะกดจิต ด้วยท่าทางที่อ่อนกำลัง นอนพิงอยู่บนหัวเตียง : “ค่ะ”
ฉินซีได้ยินเหยาจ้าวพูดว่า : “ฉินซี ค่อยๆหลับตาลง”
เธอทำตามคำพูดของเหยาจ้าว และค่อยๆปิดตาลง
“ต่อไป จงพาพวกเรากลับไปสู่ความฝันของคุณเมื่อวาน คุณในตอนนี้ กำลังอยู่บนสะพานแขวน กำลังเดินอยู่บนนั้นอย่างช้าๆ ส่วนด้านล่างเป็นเสียงน้ำไหลจ้อกๆไม่ขาดสาย รอบๆรายล้อมไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน กวางซิก้าน้อยตัวหนึ่งกำลังเล็มหญ้า มีนกขมิ้นคอยบรรเลงเพลงให้ฟัง”
ด้านหน้าของฉินซีมีภาพสไลด์ตามคำพูดของเหยาจ้าว
“ฉินซี คุณได้ยินที่ผมพูดเมื่อสักครู่ไหม”
“ฉันได้ยินแล้วค่ะ มีนกส่งเสียงร้องอยู่บนต้นไม้ มีแม่น้ำที่ใสมาก เห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในนั้น”
ฉินซีพูดตามคำพูดของเขา
ต้องยอมรับว่า ความฝันครั้งนี้ช่างเป็นฝันที่งดงามจริงๆ
“ดีมาก! ฉินซี เธอทำได้ดีมาก!”
“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปให้พวกเรามุ่งเดินไปข้างหน้า ไม่ต้องรีบร้อน ให้ทำเหมือนกับเป็นการเดินเล่นอยู่หลังสวนของบ้านตัวเอง”
หรือบางทีอาจเป็นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นช่างงดงามเหลือเกิน ทำให้ฉินซีเกือบลืมไปว่านี่เป็นเพียงความฝัน ตัวเองกำลังถูกสะกดจิตอยู่
ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าขึ้นทำตามคำพูดเหยาจ้าวนั้น
จู่ๆก็มีเสียงอื่นดังแทรกเข้ามาในหัวของฉินซี
“ฉินซี เธอจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา จงนึกถึงลู่เซิ่น จงนึกถึงความฝันของตัวเอง”
เป็นเสียงของเหยาจ้าว แต่เป็นเสียงที่ค่อนข้างทุ้มต่ำ
“ฉินซี ผมรักคุณ เมื่อคุณถอนตัวออกจากองค์กรได้แล้ว พวกเราไปท่องเที่ยวกันนะ ไปในที่ที่คุณอยากไป”
จากนั้นชินซีก็ได้ยินเสียงของลู่เซิ่น เขากำลังเรียกชื่อของตัวเอง
ลู่เซิ่น ลู่เซิ่น! เป็นลู่เซิ่น