บทที่ 135 ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า
ณ โรงพยาบาล
เวินจิ้งฟื้นขึ้นมาในอีกสองชั่วโมงให้หลัง เมื่อเธอลืมตาขึ้น ภาพที่ประทับอยู่ภายในดวงตาของเธอคือใบหน้าอันหล่อเหลามาดเข้มของมู่วี่สิง
เธอมองดูเขาอย่างแน่วแน่ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันขึ้นมาเล็กน้อย
มู่วี่สิงมีสีหน้าเคร่งเครียด “ทำไมคุณถึงไปเขาซีซานกับฉีเซินได้ล่ะ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “ตอนที่ฉันไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ฉันไปพบเขากับฉินเฟยโดยบังเอิญ จากนั้นฉีเซินก็พาตัวฉันไป”
ดูเหมือนว่าเขาจะไตร่ตรองเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่เมื่อเขาพาตัวเธอไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรเธอเลย
“คุณโทรศัพท์หาผมไม่ได้เหรอ” ตอนนี้มู่วี่สิงรู้สึกโกรธขึ้นมา
แต่เมื่อสักครู่ตอนที่เวินจิ้งล้มป่วยลงต่อหน้าเขา อารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นในตอนกลับหายไปจนหมดสิ้น
“ฉันกลัวว่าฉันจะไปรบกวนการทำงานของคุณ” เวินจิ้งก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
แต่มู่วี่สิงกลับเชิดใบหน้าอันเรียวเล็กของเธอขึ้นมาอย่างรุนแรง “รบกวนก็รบกวนไปสิ คุณสำคัญกว่าเรื่องอื่นทั้งหมด”
ตัวของเวินจิ้งสั่นเทิ้ม และสบตาสีดำละเอียดมันวาวราวกับหินออบซิเดียนของมู่วี่สิง
เธอรู้ดีว่าในฐานะแพทย์แล้ว มีอยู่หลายครั้งที่คนเป็นแพทย์ไม่อาจทำตัวเป็นอิสระได้ ผู้ป่วยจะต้องเป็นคนแรกที่แพทย์นึกถึงเสมอ
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” เวินจิ้งยิ้มออกมาอยู่เป็นเวลานาน และเข้าไปสวมกอดมู่วี่สิง
“ฉีเซินได้ทำอะไรคุณอีกไหม” เขาถามอย่างเย็นชา
เวินจิ้งส่ายศีรษะ “ไม่ค่ะ เขาพูดเพียงแค่ว่าจะพาฉันไปเที่ยว แต่คาดไม่ถึงว่าฝนจะตกลงมาระหว่างทาง และทำให้ถนนเส้นนั้นต้องถูกปิด”
เมื่อเห็นสีหน้าอันมืดมนของมู่วี่สิง เวินจิ้งก็เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไปกับเขานะคะ…..”
มู่วี่สิงตอบรับด้วยเสียง เขาปลอบขวัญเวินจิ้งและบอกให้เธอพักผ่อนเต็มที่ จากนั้น ก็เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป
เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมา เวินจิ้งรู้ดีว่าเขากำลังโกรธอยู่
ที่ด้านนอก มู่วี่สิงยืนอยู่บริเวณปลายทางเดินของระเบียง เกาเชียนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังรายงานให้เขาฟัง “บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปซื้อกิจการของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเรียบร้อยแล้ว และในช่วงนี้ บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกำลังวางแผนลงทุนสร้างมหาวิทยาลัยทางด้านเภสัชกรรม เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของบุคลากร ผมคาดเดาว่าเขารู้แผนการของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปแล้ว”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ดวงตาสีดำขลับค่อย ๆ หรี่ลง
“บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปมีหนอนบ่อนไส้”
“ผมจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดครับ”
เช้าตรู่ของวันต่อมา เวินจิ้งที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยกลับนอนไม่หลับอีกต่อไป เธอลุกขึ้นนั่ง ด้านหลังมือของเธอยังคงมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ เธอกัดฟัน และดึงสายเข็มนั้นออกมา
เธอเดินออกไปจากห้อง โดยไม่สนใจว่ากำลังมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล
ไม่ไกลนัก มู่วี่สิงกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ภาพเงาของเขาดูเหงาหงอยและโดดเดี่ยว
เขาไม่ได้จากไปไหน
เวินจิ้งมองดูเขาจากระยะไกล มู่วี่สิงในตอนนี้ทั้งดูแปลกแยกและลึกลับ เธอมองเขาไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอยังจำบทสนทนาระหว่างเขากับฉีเซินเมื่อสักครู่นี้ได้ มู่วี่สิงต้องรับช่วงต่อจากบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป
นี่คือเหตุผลที่เขาลาออกอย่างนั้นเหรอ
เวินจิ้งกดเปิดโทรศัพท์ และเสิร์ชค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ “บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป” แต่กลับไม่เจออะไรเลย
ระหว่างที่กำลังใจลอยอยู่นั้น มู่วี่สิงก็เดินมาหาเธอโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เมื่อเห็นว่าที่ด้านหลังมือของเวินจิ้งมีเลือดไหลรินออกมาจากรอยเข็มของสายน้ำเกลือ เขาก็ขมวดคิ้วฉับพลันขึ้นมาทันที
เขาจับข้อมือของหญิงสาวและพาเธอกลับไปห้องพักผู้ป่วย “ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้นะ หืม”
เขาตำหนิเธออย่างแผ่วเบา และรีบเรียกนางพยาบาลให้เข้ามาเสียบเข็มน้ำเกลืออีกครั้ง
เวินจิ้งก้มศีรษะลงด้วยความรู้สึกผิด ก็เพราะเขานั่นแหละ……
เขาเลือกที่จะอยู่ข้างนอกคนเดียวและไม่ยอมเข้ามา เขาไม่อยากอยู่กับเธอขนาดนี้เลยเหรอ……
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เวินจิ้งก็มองไปอีกทางด้วยความโกรธ
ในไม่ช้าภายในห้องพักผู้ป่วยจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน มู่วี่สิงนั่งลงที่ด้านข้าง และมองดูใบหน้าที่กำลังแง่งอนของเวินจิ้งอย่างเคร่งเครียด
“คุณนายมู่ ผมเป็นห่วงคุณนะ”
“ฉันเองก็เป็นห่วงคุณนะ” เวินจิ้งโต้ตอบกลับไป
“ฉีเซินบอกว่าคุณต้องรับช่วงต่อบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป นี่เป็นธุรกิจของตระกูลมู่ใช่ไหม” เวินจิ้งถาม
ตอนนี้ เธอต้องการรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมู่วี่สิง
แต่ทว่า เขาจะยินยอมบอกให้เธอรู้ไหม
มู่วี่สิงพยักหน้า “บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเป็นรากฐานของตระกูลมู่มากกว่า 100 ปี มันคือภาระหน้าที่ที่ทายาทแห่งตระกูลมู่ต้องรับผิดชอบดูแลมาโดยตลอด”
“คุณเป็น…..ลูกเพียงคนเดียวของตระกูลมู่เหรอคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ความเย็นชาปรากฏขึ้นภายในแววตาของมู่วี่สิง “เปล่าหรอก”