บทที่ 136 เปลี่ยนใจ
“มีแค่คุณที่จะต้องสืบทอดบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปเหรอคะ”
“ผมคือทายาทที่ได้รับการฝึกฝนทักษะจากคุณปู่ ตอนที่ผมกำลังเรียนแพทย์อยู่ในขณะนั้น ผมถูกคัดค้านอย่างรุนแรง ต่อมาผมก็คิดที่จะออกจากตระกูลมู่โดยสมบูรณ์ แต่ว่าผมก็ล้มเหลว”
“ดังนั้น คุณเลยจำต้องสืบทอดบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปต่อไป” เวินจิ้งกล่าว
“อย่างน้อยก็คงเป็นอย่างนั้น ผมอาจจะมีอำนาจมากขึ้น สิ่งที่ผมต้องทำนั้นยังมีอยู่อีกมาก” มู่วี่สิงหรี่ตาลง
เวินจิ้งไม่เข้าใจในสิ่งที่มู่วี่สิงพูด
เพียงแต่ในชั่วขณะนั้น มันกลับทำให้เขาทุกข์ทรมานอย่างคาดไม่ถึง
เธอรู้ดีว่ามู่วี่สิงชื่นชอบอาชีพแพทย์เป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ต่อต้านเพื่อสิ่งที่เขาชื่นชอบ
แต่ความเป็นจริงกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเลือกได้
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะคอยสนับสนุนคุณค่ะ” เวินจิ้งเงยหน้า และมองดูเขาอย่างเป็นประกาย
มู่วี่สิงจับที่ด้านหลังศีรษะของหญิงสาว ทั้งสองคนสบตาของกันและกัน เวินจิ้งเข้าไปจูบริมฝีปากอันเรียวบางของชายหนุ่ม และสวมกอดเขาอย่างแนบแน่น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ไข้ของเวินจิ้งลดลงจนเกือบหายดีแล้ว มู่วี่สิงจึงทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้เธอ
ฉีเซินเดินเข้ามา เมื่อเห็นท่าทีของเวินจิ้งที่ต้องการออกจากโรงพยาบาล เขาก็ยิ้มขึ้นและพูดว่า “ดูเหมือนว่าอาการของคุณเวินจะดีขึ้นมากแล้วนะครับ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “คุณมาได้ยังไง”
“ท้ายที่สุดแล้ว ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องล้มป่วยลง ทำไมเหรอ ไม่อนุญาตให้ผมมาเยี่ยมไข้เหรอไง” ฉีเซินนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย
เวินจิ้งขมวดคิ้วด้วยความโกรธ “ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“หึหึ ดูเหมือนว่าคุณจะโกรธผมเหลือเกินนะ ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก”
เวินจิ้งไม่สนใจเขา และนั่งรอมู่วี่สิงอย่างนิ่งเงียบ
“คุณจะกลับไปหนานเฉิงเมื่อไร” ฉีเซินถาม
เวินจิ้งยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม และมองข้ามฉีเซินราวกับเขาโปร่งแสงและไม่อาจมองเห็นได้
ฉีเซินไม่รู้สึกโกรธ เขายกขาอันแสนเรียวยาวขึ้นมาไขว้กัน และไม่คิดที่จะจากไปเหมือนเช่นเดิม
เมื่อมู่วี่สิงเดินกลับมาหา ฉีเซินก็กำลังมองเวินจิ้งอย่างหลงใหลอยู่พอดี
“คุณนายมู่ พวกเรากลับกันเถอะ” มู่วี่สิงจูงมือของเวินจิ้ง และไม่สนใจฉีเซิน
ฉีเซินหรี่ตาลง เขาเดินไปที่ข้างกายของเวินจิ้งเช่นกัน ซึ่งค่อนข้างยั่วโมโหมู่วี่สิงขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉีเซิน คุณคิดจะทำอะไรน่ะ” เวินจิ้งพูดอย่างเยือกเย็น
“ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับคุณ” ฉีเซินพูดอย่างหน้าตาเฉย
“ฉีเซิน ช่วงนี้นายว่างนักเหรอไง” มู่วี่สิงถามอย่างเยือกเย็นขึ้นมาทันที
ขณะที่ฉีเซินกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หลังจากที่เขากดรับสาย สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดขึ้นมาทีละน้อยในทันที
จากนั้น เขาก็หันไปมองมู่วี่สิงอย่างมืดมนและเยือกเย็น “แก!”
มู่วี่สิงยังคงตีหน้านิ่งเหมือนเช่นเดิม และโอบเวินจิ้งออกจากห้องไป
เมื่อขึ้นรถ เวินจิ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “คุณทำอะไรกับฉีเซินเหรอ”
สีหน้าของฉีเซินเมื่อสักครู่นี้ถือว่าหาได้ยากทีเดียว มันเป็นสีหน้าของคนที่ถูกกลั่นแกล้งแต่ไม่สามารถหนีรอดไปได้
“ก็แค่สร้างปัญหาเล็กน้อยให้เขาน่ะ” มู่วี่สิงพูดพลางยิ้ม
ในวันเดียวกันนั้น ฉีเซินก็รีบกลับไปหนานเฉิงในทันที
เดิมทีนั้น บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปสามารถซื้อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้อย่างราบรื่น แต่ทว่าในช่วงนี้ สถานการณ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก่อนหน้านี้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลง และตัดสินใจปฏิเสธเป็นการชั่วคราว!
ตอนนี้บริษัทฉีซื่อกรุ๊ปได้ออกหนังสือเวียนเพื่อประกาศความสำเร็จในการซื้อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปออกไปแล้ว ถ้าหากว่าการซื้อกิจการในตอนนี้เกิดล้มเหลวขึ้นมา มันก็เหมือนกับการฉีกหน้าของตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้น!” ฉีเซินพูดอย่างโกรธจัด
ผู้ช่วยผู้อำนวยการรีบต่อสายโทรศัพท์ไปหาฉินเจิ้งในทันที
“คุณฉี ในเมื่อคุณไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับฉินเฟย ผมคงต้องพิจารณาเรื่องแผนการซื้อกิจการของคุณใหม่อีกครั้งแล้วล่ะครับ”
“ผมจะแต่งงานกับฉินเฟย!” ฉีเซินหรี่ตาลง
“เหรอครับ แต่ผมเห็นว่าช่วงนี้คุณยังไปเดินควงผู้หญิงคนอื่นอย่างใกล้ชิดสนิทสนมนะครับ”
ฉีเซินขมวดคิ้ว ทำไมจู่ๆ ฉินเจิ้งถึงได้มาตรวจสอบเขากัน
“คุณฉิน ตอนนี้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ การยืดแผนการซื้อกิจการครั้งนี้ออกไป มีแต่จะทำให้บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปต้องสูญเสียเป็นจำนวนมากนะครับ”
“ลูกสาวของผมสำคัญกว่าบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเป็นอย่างมาก ในเมื่อคุณไม่จริงใจกับเธอ ผมเองก็พร้อมที่จะเลือกคนอื่น”
ปลายสายกดวางสายอย่างรวดเร็ว ฉีเซินมีสีหน้าเคร่งเครียด ทำไมจู่ ๆ ฉินเจิ้งถึงได้เปลี่ยนใจขึ้นมากัน