บทที่ 1387 คุณมีความสุขไหม
หน้าอกของเธอเต้นกระเพื่อม มองสายตาของลู่เซิ่นที่โมโหขึ้นมาก “ในเมื่อประธานลู่ไม่มีเจตนาประนีประนอม งั้นฉันไม่เสียเวลาพูดกับคุณแล้ว ขอตัวกลับก่อนค่ะ”
เมื่อพูดจบ ถังย่าก็ทำท่าจะเดินออกไป
“ถังย่า คุณรู้สึกว่าตอนนี้ระงับอารมณ์ มองดูจ้านเซินทำเพื่อฉินซีมากมาย คุณมีความสุขมั้ย”
ลู่เซิ่นพูดขึ้นขณะที่เธอกำลังจะเดินไป
เขาเห็นถังย่าตัวเกร็ง
ถังย่าได้ยินเสียงใจของตัวเองแตกสลาย เธอไม่รู้มันเรียกว่าอะไร รู้แต่เพียงมันเจ็บ
เธอเข้าใจดีนี่อาจเป็นวิธีของลู่เซิ่น แต่ความรู้สึกปวดร้าวใจเป็นเรื่องจริง
ถังย่าหลับตาลง สูดลมหายใจลึก
ขณะที่เธอหันกลับมาอีกครั้ง ใบหน้ากลับมาปกติอีกครั้ง ”ประธานลู่ ฉันคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ความรู้สึกของฉันกับจ้านเซินก็แค่ลูกน้องเคารพเจ้านาย และซาบซึ้งที่เขามอบชีวิตที่ดีให้ฉัน ไม่มีความรู้สึกอื่น คุณก็รู้คนในองค์กร นอกจากฉินซีแล้วเป็นหุ่นยนต์ไร้หัวใจทั้งนั้น”
ขณะที่ถังย่าพูด ตั้งใจเน้นคำ “หุ่นยนต์” สองคำนี้
เธอพูดจริงจังมาก แต่ลู่เซิ่นรู้ดี เธอเสแสร้งแกล้งทำ
คนที่ไม่มีความรู้สึกที่แท้จริง ไม่มีทางที่อารมณ์จะขึ้นลง
ก็เหมือนตอนที่ลู่เซิ่นเห็นถังย่าครั้งแรก ถังย่าเย็นชาขนาดนั้น น้ำเสียงขณะพูดราบเรียบเป็นเส้นตรง เธอยิ้มไม่เป็น ร้องไห้ไม่เป็น ใบหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา
ต่อมา ลู่เซิ่นพบกับคนในองค์กรหลายคน ต่างมีสีหน้าท่าทางเหมือนตอนที่เจอถังย่าครั้งแรก
พวกเขาเป็นหุ่นยนต์ ตอนนี้ถังย่ากลับไม่ใช่
ขณะที่เธอสัมผัสกับโลกภายนอก ค่อยๆ รับอิทธิพลจากโลกภายนอก เริ่มมีหัวใจ
เพียงแต่ตอนนี้ถังย่าหวั่นกลัว เธอแค่ไม่กล้ายอมรับเรื่องนี้เท่านั้น”
“คุณเป็นหุ่นยนต์หรือไม่ คุณรู้ดีแก่ใจกว่าใคร ถังย่าคุณหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้นะครับ”
ลู่เซิ่นพูดเรียบๆ นั่งบนโซฟาจิตใจสุขุม
เห็นๆ ว่าบรรยากาศรอบตัวเขานิ่งสงบขนาดนั้น แต่ถังย่ากลับรู้สึกถึงบรรยากาศกดดันที่มองไม่เห็นมากขึ้นหลายเท่า แรงกดดันที่รุนแรงนั้น ทำให้ในใจถังย่าราวกับมีก้อนหินยักษ์อุดอยู่ จนหายใจไม่ออก
ความรู้สึกถูกสอดแนมจนทะลุปรุโปร่ง ลอยเข้ามาในหัวสมองของถังย่า
ถังย่าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสลัดความรู้สึกนี้ออกไปได้ กระวนกระวายใจสุดแสน
เธอเม้มริมฝีปาก ยืนแข็งทื่อที่เดิม
เวลานี้เอง ตั้งแต่เข้ามา ซิวหน่ายซิงที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้น “พอแล้ว!คุณหยุดล้างสมองลูกพี่ของเราได้แล้ว ลูกพี่ของพวกเราผ่านการฝึกฝนมากมาย คุณคิดว่าแค่คำพูดสองสามคำจะทำให้ลูกพี่ของเราเชื่อคุณ ช่วยคุณทำงาน หักหลังองค์กรงั้นหรือ”
ซิวหน่ายซิงพลันก้าวมาข้างหน้า ตวาดเสียงดัง
เขาไม่รู้สึกหวาดกลัว เพราะสถานะของลู่เซิ่น
ซิวหน่ายซิงยืนบังถังย่า เหมือนกำแพง กั้นขวางการติดต่อระหว่างถังย่ากับลู่เซิ่น
รูปร่างของเขาสูงใหญ่ขนาดนั้น บังถังย่าเสียมิด
ไม่มีประกายสายตาของลู่เซิ่นจ้องมอง ในใจถังย่าโล่งอก
เธอมองด้านหลังของซิวหน่ายซิง ในใจความรู้สึกปนเปบอกไม่ถูก
ถังย่ารู้สึกมาตลอดซิวหน่ายซิง เอ้อระเหยลอยชาย ไม่แป็นโล้เป็นพาย แต่ในเวลาสำคัญ เขากลับออกหน้าช่วยฉุดเธอไม่ให้ตกหน้าผา
ไม่ว่าตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ถังย่าก็ดีใจที่เขาออกหน้า
แม้จะเป็นเรื่องควรทำส่วนลูกน้อง
ลู่เซิ่นมองเขาเหมือนเด็กๆ ขมวดคิ้ว “ผมไม่ได้สอนคุณถังทรยศองค์กร ก็แค่หวังว่าเธอจะเป็นตัวของตัวเองไม่ถูกกฎเกณฑ์ ระเบียบพวกนั้นจูงจมูกอีก คนเราชีวิตหนึ่ง ทำเพื่อความสุข ไม่ใช่หรือครับ”
เขามองออกซิวหน่ายซิง ลึกๆ ก็เป็นคนสบายๆ เรื่อยๆ
พูดกันตามเหตุผลแล้ว คนอย่างซิวหน่ายซิงประเภทนี้ น่าจะชอบอิสระเสรี ไม่น่าจะถูกล้างสมองและควบคุมง่ายๆ
เช่นนั้น เขาเข้ามาอยู่ในองค์กร ทุ่มชีวิตเพื่อองค์กรได้อย่างไร
อันที่จริง ซิวหน่ายซิงเมื่อพูดถึงความสำคัญแล้ว ไม่ถือว่าเป็นบุคลากรสำคัญขององค์กร
อย่างมากเขาก็เป็นแค่สายข่าวนอกองค์กรเท่านั้น
เพราะว่า ซิวหน่ายซิงคือคนที่ถังย่าขณะปฏิบัติภารกิจข้างนอก บังเอิญช่วยชีวิตไว้
ถังย่าเองไม่คิดจะช่วยเขา คิดว่ามีภาระเพิ่มขึ้น มันน่ารำคาญมาก
แต่อารมณ์ชั่ววูบ เห็นสายตาน่าสงสารของซิวหน่ายซิงขนาดนั้น ถังย่าคิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ ก็โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิงเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงยื่นมือเข้ามาช่วยซิวหน่ายซิง และยังสอนกังฟูหมัดมวยให้เขาด้วย เริ่มค่อยๆ สอนเขา ให้เขาเป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเอง
ซิวหน่ายซิงไม่ยอมแพ้ เติบโตอย่างรวดเร็ว
ทีละเล็กละน้อย ถังย่าก็เคยชินที่มีซิวหน่ายซิงคอยติดตาม
จ้านเซินในตอนแรกก็ไม่เชื่อใจซิวหน่ายซิง ไม่เห็นด้วยที่เขามาติดตามถังย่า รู้สึกว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องทรยศ แต่เมื่อซิวหน่ายซิง พิสูจน์ตัวเองและถังย่ายืนยัน จึงยอมรับเขา
หลายปีมานี้ ซิวหน่ายซิงติดตามถังย่าตั้งใจทำงาน ไม่เคยทำงานผิดพลาดสักครั้ง และยังช่วยงานได้มาก ทำให้ถังย่าวางใจไปได้มาก
เมื่อจ้านเซินเห็นความสามารถและผลงานของเขาก็ยอมรับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงอย่างไรซิวหน่ายซิงยังไม่มีคุณสมบัติเข้าภายในองค์กร
ซิวหน่ายซิงเองก็ไม่อยาก เขาเพียงแค่อยากติดตามถังย่า เป็นเพื่อนเธอตลอดไป
“ใครพูดคะ…”
ขณะที่ซิวหน่ายซิงอยากจะอ้าปากโต้แย้งนั้น ถังย่าที่อยู่ข้างหลังก็เดินออกมา
ถังย่าเดินไปยืนต่อหน้าลู่เซิ่น ใบหน้าเคร่งเครียด ”ใครเป็นคนบอกคะชีวิตหนึ่ง เพื่อความสุข คุณน่าจะทราบคนมากมายเพื่อมีชีวิตอยู่ ยากกลำบากแค่ไหน เพื่อปัจจัยสี่ มีที่หลับที่นอน ไม่ถูกไล่ไปก็มีความสุขแล้ว ยังมีเวลาที่ไหนกันคิดเรื่องพวกนี้”
เสี้ยวเวลานี้ ถังย่ารู้สึกว่า ลู่เซิ่นไร้เดียงสามาก
เขาไม่รู้เรื่องความทุกข์ยากของคนรากหญ้าในสังคมสักนิด อยู่แต่ในโลกอุดมคติของตัวเอง
“คุณอยู่ในด้านสว่าง จึงรู้สึกว่าทั้งโลกนี้คือด้านสว่าง”
ริมฝีปากแดงขยับนิดๆ ถังย่าพูดช้าๆ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ย
ความสุข!สำราญ!
ฮ่าๆ
ช่างเป็นเรื่องที่เกินคาดหวัง ตัวความสุขเองก็ยากแล้ว โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่
ถ้าไม่เชื่อ ก็ไปทำสำรวจสังคมได้ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ต่างไม่มีความสุข ทุกวันอยู่ในโลกที่ต้องหาเงิน เลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงพ่อแม่และลูกทั้งครอบครัว วนเวียนไปไม่สิ้นสุด ใช้ชีวิตแห้งแล้งไร้รสชาติ แต่เพราะภาระความรับผิดชอบ จำต้องเอาตัวรอด
สายตาของถังย่าคมกริบ ทำให้ลู่เซิ่นไม่รู้จะพูดอย่างไรดี