flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1411 ห้องกักขัง

บทที่ 1411 ห้องกักขัง

“ไปนอนพักก่อนสักหน่อย ดีกว่ามัวคิดอะไรไปเองอยู่ตรงนี้ ไปจัดระเบียบความคิดสักหน่อย ค่อยคิดว่าวิธีอื่นที่จะไปช่วยฉินซีออกมา”

โจวซิงพูดอย่างผ่อนคลาย ทนเห็นเขาทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนี้ไม่ไหว

โจวเอ้อคิดแล้วคิดอีก คิดว่าที่โจวซิงพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง

ตอนนี้ในสมองเขาวุ่นวายไปหมด คิดอะไรดีๆ ไม่ออกเลย

“ได้ งั้นคุณเฝ้าสังเกตลู่เซิ่นทางนี้ มีเรื่องอะไรรีบบอกฉันทันที”

โจวเอ้อพูดย้ำอย่างไม่วางใจอีกสองสามประโยค หลังจากได้รับคำตอบที่มั่นใจจากโจวซิงแล้ว จึงเดินไปทางห้องทำงานของเขา

โจวซิงมองลู่เซิ่นที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงผู้ป่วย และส่ายหน้า

ถึงเขาจะไม่เข้าใจความรักและไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

แต่เขาเห็นฉินซีและลู่เซิ่นพยายามทำอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว ใจเขารู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง

……

อีกด้านหนึ่ง

ฉินซีเข้ามาในองค์กร และถูกจ้านเซินขังไว้ในห้องมืดเล็กๆ

“คุณเข้าไปคิดทบทวน คิดอะไรได้แล้ว ก็ให้คนมาบอกฉัน”

หูของฉินซีฟังคำพูดเย็นชาของจ้านเซิน แต่เธอกลับไม่ใส่ใจ

เธอไม่ได้สนใจจะสำนึกผิดต่อจ้านเซินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เธอก็แค่ไล่ตามอิสระและความรักของตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรผิด

องค์กรและกฎพวกนั้นต่างหากที่ผิด

ฉินซีสาบานจะต่อสู้กับระบบชั่วร้ายให้ถึงที่สุด

จ้านเซินมองท่าทางว่านอนสอนง่ายของเธอ อารมณ์ในใจกลับพลุ่งพล่าน ไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ดีใจ แต่กลับไม่สบายใจยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากฉินซีออกจากโรงพยาบาลมา ก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำ

เธอถึงขนาดไม่กินไม่ดื่ม ต่อต้านเขาอย่างเงียบๆ

ถังย่าเห็นภาพนี้ เม้มแล้วเม้มปากอีก : “ฉินซี คุณคิดให้ดีๆ สำหรับคุณแล้วอะไรที่สำคัญที่สุด คุณลองวิเคราะห์ดูว่าควรทำยังไง”

เธอพูดอย่างมีนัยลึกซึ้ง ความหมายในนั้นมีเพียงฉินซีที่ต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเอง

ฉินซีได้ยินเสียงของเธอ เงยหน้าขึ้นมองตาเธออย่างนิ่งเฉยและก้มหน้าลงอีกครั้ง

ท่าทางไม่เย่อหยิ่งไม่สะทกสะท้านอย่างนี้ ทำให้จ้านเซินสะบัดแขนเดินจากไป

ถังย่ามองบอดี้การ์ดแวบหนึ่ง เชิงสั่งให้เฝ้าฉินซีให้ดี ห้ามปล่อยให้ออกไปเด็ดขาด จากนั้นจึงรีบตามจ้านเซินไป

บอดี้การ์ดรู้ดีว่าจ้านเซินสนใจฉินซีขนาดไหน ทุกคนตั้งสติอย่างดี ไม่มีใครกล้าหย่อนยาน

ถ้าทางนี้ฉินซีเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตามนิสัยโมโหร้ายของจ้านเซินแล้ว พวกเขารับมันไม่ไหวแน่นอน

ถังย่ารีบไล่ตามทันการก้าวเดินของจ้านเซิน : “จ้านเซิน”

เธอเรียกเสียงดัง

จ้านเซินขมวดคิ้วและหยุดเดิน : “มีอะไร?”

เขาไม่หันกลับมาและพูดอย่างนิ่งๆ

ถังย่าพุ่งตัวไปด้านหน้าเขา เงยหน้ามองเขา : “จ้านเซิน คุณกำลังโกรธใช่ไหม?”

เธอถามตรงๆ แววตาสวยงามส่องประกายวิบวับ

แววตาถังย่าใสราวกับกระจก สามารถส่องสะท้อนความคิดในใจคน

จ้านเซินหันหน้าหลบ และพูดเสียงเย็นชาว่า : “ไม่”

ท่าทางเย่อหยิ่งของเขา ถังย่าไม่ได้ทำลายมันลง

“งั้นฉันยังต้องเฝ้าสังเกตการณ์ทางฝั่งของลู่เซิ่นอีกไหม?”

ถังย่าพูดถึงสาระสำคัญ เธอรู้สึกว่าหลังจากลู่เซิ่นกลับไป เขาจะต้องไม่ยอมแพ้แน่นอน

บางที ตอนนี้ลู่เซิ่นอาจจะกำลังวางแผนครั้งต่อไปจะลงมือยังไงอยู่ก็ได้

“อืม”

จ้านเซินก็คิดเหมือนกัน

ครั้งนี้เขาปล่อยลู่เซิ่นไป เพราะเห็นแกฉินซี ให้ลู่เซิ่นได้มีชีวิตต่อ

ถ้าลู่เซิ่นกล้าบุกเข้ามาในองค์กร เขาจะให้ลู่เซิ่นเข้ามาและไม่มีทางได้กลับออกไป

“โอเค งั้นฝั่งของลู่เซิ่นให้ฉันจัดการเอง สถานการณ์ของฉินซีไม่ปกติ ฉันขอแนะนำว่าดีที่สุดคุณอย่าบีบบังคับเธอ ให้เธอสงบสติหน่อย ค่อยๆ คิดทบทวน”

ถังย่าพูดเสนอความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างอบอุ่น

เธอคิดว่าภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ จ้านเซินยิ่งบีบจนแน่น ฉินซีจะยิ่งต่อต้านมากขึ้น

แต่ทว่า ถังย่าคิดไม่ถึงว่าประโยคนี้ของเธอจะกระตุ้นสติของจ้านเซินได้อย่างดี

จ้านเซินมองเธอแววตาเป็นประกายไฟ พูดเสียงแหบว่า : “ถังย่า คุณคิดให้ดี ตอนนี้ใครบีบใครอยู่กันแน่!”

เขาคิดว่าตัวเองดีกับฉินซีมากแล้ว แต่ฉินซีกลับยังไม่พอ ท้าทายกฎขององค์กรและขีดจำกัดของเขาได้ทั้งวัน

ลูกน้องในองค์กรมีกี่ร้อยคน นอกจากฉินซีแล้วยังมีใครกล้าทำอย่างนี้อีก

ความอดทนที่เขามีต่อฉินซีถึงขีดจำกัดแล้ว

ถังย่าตกตะลึง เผชิญหน้ากับคำถามนี้ เม้มปากแล้วเม้มปากอีก : “จ้านเซิน นี่คุณเลือกเอง คุณเลือกที่จะปล่อยฉินซีไปได้ แต่คุณกลับพยายามเอาเธอมาไว้ข้างตัว คุณ…”

เธอยังพูดไม่ทันจบ จ้านเซินก็ขัดเธอขึ้นมาด้วยความโกรธ : “พอแล้ว! ถังย่า ตกลงแล้วคุณยืนข้างใคร ตอนนี้แม้แต่คุณก็ไม่เชื่อฟังฉันแล้วใช่ไหม?”

เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว มองลงมาที่ถังย่า น้ำเสียงเย็นชาจนเข้ากระดูก

จ้านเซิน ณ ตอนนี้อันตรายมาก ราวกับสิงโตเร่ร่อนที่เดินวนไปมาตามขอบแดน

เขาจ้องถังย่า ถังย่ารู้สึกว่าอากาศรอบๆ เบาบางลงในทันที

ทั้งๆ ที่จ้านเซินไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ ถังย่ากลับรู้สึกหายใจลำบาก

เธอโดนจ้านเซินบีบเข้าไปในมุมมุมหนึ่ง ใจเต้นอย่างรุนแรง

นี้ไม่ใช่ใจสั่นไหว แต่เป็นความกลัวและความน่ากลัว

ถังย่ากังวลว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้ จะทำให้จ้านเซินไม่สนใจตัวเองและแยกห่างออกไปอีก

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันไม่ได้ไม่เชื่อฟังคุณ”

ถังย่าส่ายหน้า อยากจะอธิบาย

แต่ จ้านเซินกลับถอยไปครึ่งก้าวกะทันหัน

เขามองถังย่า ดวงตาเรียวยาวส่องประกายความหม่นหมอง : “ช่างเถอะ”

หลังจากจ้านเซินพูดจบอย่างไม่ใส่ใจ ก็หมุนตัวเดินจากไป

ถังย่ามองท่าทางตรงไปตรงมาของเขา ในใจเจ็บปวดมาก

เธอไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเห็นความผิดหวังและความเหงาจากดวงตาของจ้านเซิน

จ้านเซินกำลังผิดหวังเพราะใคร เพราะเธอหรือ?

ในใจถังย่าสับสน เมื่อเธอกำลังคิดว่าจะไล่ตามไป ก็ไม่เห็นจ้านเซินแล้ว

เธอมองหาไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของจ้านเซินเลยสักนิด

ไม่รู้จะทำยังไง ถังย่าทำได้แค่กลับไปรอก่อน

และฉินซีที่ถูกขังอยู่ในห้องกักขัง ไม่รู้สถานการณ์ภายนอกเลยสักนิด

ของที่อยู่ติดตัวเธอโดนยึดไปหมดแล้ว แค่คิดจะงัดกุญแจออกไปยังไม่ได้

จ้านเซินยังจัดบอดี้การ์ดไว้ด้านนอกอีกหลายคน สลับกันเฝ้าดูเธอไม่ให้หนีรอดออกไปได้

“ลู่เซิ่น คุณจะต้องไม่เป็นอะไร”

ฉินซีพึมพำกับตัวเอง ในตาเต็มไปด้วยความคิดถึง

เธอทำได้แค่นับเวลาโดยประมาณ แต่ทุกๆ วินาทีสำหรับฉินซีนั้นทรมานมาก

ฉินซีไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆได้อีก เธอต้องคิดหาวิธีที่จะออกไปให้เร็วที่สุด

ต่อให้ออกไปไม่ได้ ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าสถานการณ์ของลู่เซิ่นเป็นยังไงบ้าง

แต่ด้านนอกมีแต่บอดี้การ์ดพวกนั้น เป็นคนที่จ้านเซินจัดมาทั้งหมด พวกเขาต้องไม่ยอมช่วยเธอแน่นอน

ทำยังไงดี?

ฉินซีเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน

“เหยาจ้าว!”

ทันใดนั้น สมองของฉินซีก็ปรากฏชื่อคนคนหนึ่งขึ้นมาทันที ดวงตาส่องประกายความยินดี

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

Options

not work with dark mode
Reset