บทที่1421 ยัยตัวยุ่ง
สำหรับฉินซีแล้ว ปัญหาใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าคือจ้านเซิน
“เธอเข้าใจก็ดีแล้ว”
เหยาจ้าวเห็นเธอกลับสู่สภาพปกติ ความกังวลในใจก็คลายลงไปเยอะ
“ตอนนี้ร่างกายเธอรู้สึกยังไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่ไหม?”
เหยาจ้าวถามอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นอะไรมาก ปวดอยู่นิดหน่อย แต่อยู่ในขอบเขตความอดทนของฉัน”
สำหรับฉินซี ความเจ็บปวดแค่นี้ถือว่าไม่เท่าไหร่
กลับกัน มันยังคอยย้ำเตือนฉินซีอยู่ตลอดเวลา ว่าจะต้องหาทางหนีออกจากองค์กรให้ได้
เหยาจ้าวพยักหน้า “เธอพักอีกหน่อยเถอะ ฉันจะไปรายงานให้จ้านเซินรู้”
ในตอนนี้เขาไม่อาจทำตามอำเภอใจอย่างแต่ก่อนได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งทำให้จ้านเซินสงสัย
“อืม”
ฉินซีไม่ได้ต่อต้านอะไร เธอรู้ว่าทางฝั่งจ้านเซินจะช้าหรือเร็วก็ต้องเผชิญหน้า
อีกอย่าง เธอจำเป็นต้องจัดการอารมณ์ให้ดี ไม่ให้จ้านเซินเห็นพิรุธ
ฉินซีมองส่งเหยาจ้าวจากไป เอนตัวนอนลงบนเตียงผู้ป่วยค่อยๆหลับตาลง
สองวันมานี้ เป็นเพราะเป็นห่วงลู่เซิ่น ตั้งแต่ต้นฉินซีไม่ได้นอนอย่างสงบเลย
หลังจากรับรู้ว่าลู่เซิ่นปลอดภัยดี ฉินซีก็เข้าสู่ความฝันอย่างรวดเร็ว
……
เหยาจ้าวหาจ้านเซินจนเจอ “ฉินซีฟื้นแล้ว”
เขาบอกอาการของฉินซีให้จ้านเซินรับรู้
หลังจากจ้านเซินได้ฟัง ก็มีสีหน้าสงบนิ่ง
อันที่จริง จ้านเซินรู้อยู่แล้วว่าฉินซีแกล้งทำ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เปิดเผยในที่สาธารณะ ก็เพื่อไม่ให้ฉินซีเสียหน้า
เขารับฟังคำพูดของถังย่า ไม่อยากบังคับฉินซีมากเกินไป
“ฉันรู้แล้ว”
จ้านเซินนั่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับเขยื้อน ราวกับไม่สนใจว่าฉินซีจะอยู่หรือตาย
มันทำให้เหยาจ้าวแปลกใจมาก “คุณไม่ไปดูฉินซีหรอ?”
เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่ก่อนทุกครั้งที่ได้ยินว่าฉินซีฟื้นแล้ว จ้านเซินมักจะวิ่งเร็วที่สุด วันนี้เป็นอะไรไป?
การตอบสนองของจ้านเซิน ทำให้เหยาจ้าวงุนงงเล็กน้อย
จ้านเซินพลิกเอกสารในมือ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยปากพูดโดยไม่เงยหน้า “ไม่ล่ะ นายดูเธอไว้ก็พอ ให้เธอพักฟื้นให้ดี อย่าไปคิดอะไรวุ่นวาย”
ตอนนี้อาการป่วยของฉินซีหนักขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะหัวสมองเธอว้าวุ่น
ถ้าหากว่าฉินซีปล่อยวางได้ อาการป่วยก็จะดีขึ้น
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆจ้านเซินถึงกลายเป็นแบบนี้ แต่เหยาจ้าวก็ยังรับคำสั่งอย่างซื่อตรง พูดตอบไปอย่างเคารพ “ครับ”
เขารู้สึกว่าขีดจำกัดที่จ้านเซินมีต่อฉินซีน้อยลงนิดหน่อยอย่างอธิบายได้ แม้แต่ความสงสัยที่มีต่อตัวเขาก็อ่อนลง แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า หรือนี่เป็นวิธีการหนึ่งที่จ้านเซินทำให้พวกเขาระมัดระวังน้อยลง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว นายก็ออกไปก่อน”
จ้านเซินเอ่ยปากนิ่งๆ พลิกเอกสารไปอีกหน้า
หางตาของเขามองเหยาจ้าวหันตัวเดินออกไป ในเวลาที่ประตูห้องถูกปิด จ้านเซินก็วางเอกสารในมือลง
นิ้วทั้งห้ากำแน่น จ้านเซินกำหมัดขึ้น แสงสลัวเลือนรางส่องประกายอยู่ในดวงตาที่แคบยาว
เขายินยอมให้เวลาฉินซีได้พิจารณา แต่หวังว่าฉินซีจะคิดให้ดี
เหยาจ้าวรีบร้อนกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย อยากจะเล่าเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ให้ฉินซีฟัง แต่กลับพบว่าฉินซีนอนหลับไปแล้ว
มองไปที่ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเธอ เหยาจ้าวก็ถอนหายใจเบาๆ
เขาออกมาจากห้องผู้ป่วยเงียบๆ ไม่ได้รบกวนการพักผ่อนของฉินซี
ฉินซีหลับตื่นนึง ก็เป็นเช้าของวันถัดมาแล้ว
เธอหลับไปทั้งวันทั้งคืน ในหัววิงเวียน
เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เหยาจ้าวก็ถืออาหารเช้าเข้ามาพอดี
เหยาจ้าวเห็นเธอขยี้ตานั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยท่าทางสะลึมสะลือ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเอาใจ “ตื่นแล้วหรอ?”
เขารู้สึกว่า ฉินซีในตอนนี้ดูเหมือนกับเด็กน้อย ดูน่ารักไร้เดียงสา
“อืม”
ฉินซีพยักหน้าด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พึ่งตื่นขึ้นมาสมองยังคงเหม่อลอย
มองดูท้องฟ้าด้านนอก ฉินซีเอ่ยปากอย่างสับสน “ฉันหลับไปนานแค่ไหน”
เธอรู้สึกร่างกายชา ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ
“หนึ่งวันหนึ่งคืน”
ในตอนนที่ฉินซีได้ยินเลขจำนวนนี้ ใบหน้าก็เผยความตกใจ
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะนอนไปนานขนาดนั้น
“จ๊อก…”
ในอากาศส่งกลิ่นหอมของอาหาร ฉินซีไม่ได้กินอะไรมาวันนึงแล้ว ท้องเริ่มที่จะส่งเสียงประท้วง
ฉินซีลูบท้องน้อยที่ถูกปล่อยให้หิว มองไปที่เหยาจ้าว “ฉันหิวแล้ว”
เธอเปิดปากพูดอย่างเด็ดขาด รอเหยาจ้าวเอาอาหารมาให้
“ฉินซี เธอนี่เป็นยัยตัวยุ่งจริงๆ”
เหยาจ้าวมองดูเธอที่นั่งอยู่ ท่าทีออกคำสั่งกับตน ส่ายหัว แล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้
ลูกผู้น้องของเขาคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
ฉินซีนอนเต็มอิ่มแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นเล็กน้อย พูดหยอกล้อกับเขาอย่างหาได้ยาก “รู้อยู่แล้ว ยังไม่รีบเอาข้าวเช้ามาให้อีก”
เธอเชิดคางขึ้น ท่าทีหยิ่งผยอง
มองไปที่ท่าทีขี้เล่นเล็กน้อยของฉินซี มุมปากของเหยาจ้าวก็แสยะขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่าช่วงเวลาที่เขากับฉินซีรู้จักกันจะไม่นานมาก ยี่สิบกว่าปีก่อนแม้จะไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของฉินซีที่เป็นเครือญาติ
แต่ว่า หลังจากได้สนิทสนมกับฉินซีแล้ว เหยาจ้าวก็ชอบลูกผู้น้องคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
เธอทั้งรักอิสระ แข็งแกร่ง ใจดีและสวยงามขนาดนี้ทำเอาคนรักใคร่
“ครับครับครับ”
เหยาจ้าวแสร้งทำเป็นไม่เต็มใจ ส่งอาหารเช้าให้เธอ
อาหารเช้าเป็นซุปซี่โครงรากบัวที่จ้านเซินสั่งให้ห้องครัวทำเป็นพิเศษ มีคุณค่าทางอาหาร ทั้งยังมีกลิ่นหอมหวานน่ากิน
สำหรับฉินซีที่กำลังป่วยอยู่ นี่เป็นยาฟื้นตัวที่ดีที่สุด
ฉินซีกินไปหนึ่งคำ รสชาติที่คุ้นเคยทำให้เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาแต่ก่อน
เห็นเธอกำลังจะปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง เหยาจ้าวรีบเปิดปากพูด “ฉินซี มีเรื่องหนึ่งฉันอยากจะพูดกับเธอ”
เขาเปิดประเด็นขึ้น ดึงความสนใจของฉินซี
“เรื่องอะไร?”
ฉินซีค่อยๆวางชามในมือลง เงยหน้ามองไปที่เหยาจ้าว
เหยาจ้าวถอนหายใจเบาๆสองที “คืออย่างงี้ เมื่อวานฉัน…”
เขาบอกเรื่องท่าทีที่ผิดแปลกของจ้านเซินเมื่อวานนี้ ให้ฉินซีฟังตั้งแต่ต้นจนจบ อยากรู้ว่าเธอจะมีความคิดเห็นยังไง
มือที่กำลังกินซุปของฉินซีชะงัก หยุดการเคลื่อนไหวลงช้าๆ
คิ้วของเธอขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามคำพูดของเหยาจ้าว
อันที่จริง ฉินซีก็ไม่รู้ว่าจ้านเซินหมายถึงอะไร
แม้ว่าเธออยู่ในองค์กรจะใกล้ชิดกับจ้านเซินมาเนิ่นนาน แต่ก็มีหลายครั้งที่เดาความคิดเขาไม่ออก
จ้านเซินนั้นเปรียบเหมือนหลุมดำที่ลึกไม่มีสิ้นสุด เมื่อคุณจ้องมองลงไปในเหวลึก เขาก็กำลังจ้องมองคุณอยู่
เหวลึกนั้นมองคุณทะลุได้ แต่คุณจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากความมืดมิด
เหยาจ้าวเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “เธอว่า จ้านเซินคิดได้แล้วหรือเปล่า ว่าจะเริ่มปล่อยวางความตื่นตัวในตัวเธอ?”
เขารู้สึกว่า การมีอยู่ของเหตุผลนี้ไม่อาจตัดออกได้
ท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์ระหว่างฉินซีกับจ้านเซินนั้นลึกซึ้งแค่ไหน ไม่ว่าใครก็มองเห็นได้
ยิ่งหลังจากได้เห็นว่าฉินซียินดีที่จะตายเพื่อลู่เซิ่น บางทีจ้านเซินก็รู้สึกสะเทือนใจอยู่เหมือนกัน