บทที่1422 ปริศนาคำทาย
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเหยาจ้าว ฉินซีส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้”
เธอเอ่ยปากพูดทันที ปฏิเสธการคาดเดาของเหยาจ้าว
ฉินซีอยู่กับจ้านเซินมาหลายปี ย่อมรู้จักเขาดีเป็นธรรมดา
ไม่ว่าทำอะไรจ้านเซินจะรอบคอบความขี้ระแวงในใจยังมากเป็นพิเศษ
เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะตัดสินใจ ปล่อยวางการระวังตัว ในช่วงเวลาเพียงแค่สองวัน
ต่อหน้าคำปฏิเสธที่เด็ดขาดของฉินซี เหยาจ้าวก็ขมวดคิ้ว
“งั้นเธอคิดว่าตอนนี้เราควรทำยังไง?”
เหยาจ้าวแม้ว่าจะอยู่ในองค์กรมาเป็นเวลาสองปีแล้ว แต่ความเข้าใจที่มีต่อจ้านเซินกลับห่างไกลจากฉินซีมาก
ฉินซีครุ่นคิดนิดหน่อย “จ้านเซินยิ่งเป็นแบบนี้ พวกเรายิ่งต้องระวังตัวให้มากขึ้น จะให้มีพิรุธไม่ได้เด็ดขาด ช่วงเวลานี้นายกับฉันอย่าพูดเรื่องที่เกี่ยวกับลู่เซิ่น เข้าใจไหม?”
เพื่อที่จะได้หนีออกไปโดยเร็ว ฉินซีได้เพียงปกปิดความในใจของตนไว้ก่อน
“เข้าใจแล้ว”
เหยาจ้าวพยักหน้า ถอนหายใจเล็กน้อยกับการเปลี่ยนแปลงของฉินซี
ความรักนั้นช่างแปลกประหลาด ทำให้ผู้คนเปราะบางเกินใครได้ แล้วยังมอบพลังไม่มีที่สิ้นสุดให้ผู้คนได้
มีบางที เหยาจ้าวเองก็อยากลองดูว่าแท้จริงแล้วความรักมีรสชาติแบบไหน น่าเสียดายที่ต้องติดอยู่ใน “กรง” อันหนาวเหน็บ ไม่มีโอกาสเลย
ในทุกวันที่ตื่นขึ้นมาสายตาก็เห็นแต่กลุ่มผู้หลักผู้ใหญ่ขององค์กร เหยาจ้าวรู้สึกว่าตัวเองหดหู่จนแทบขาดใจ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป รสนิยมทางเพศอาจมีปัญหาตามมา
หลังจากที่ฉินซีกินซุปกระดูกรากบัวในชามหมดแล้ว ก็ยื่นชามให้เขา
“นายก็รายงานสถานการณ์ของฉันต่อจ้านเซินทุกวัน ไม่ต้องปิดบังอะไร อธิบายไปตามความจริงก็พอ ส่วนเขาจะมาเยี่ยมฉันด้วยตัวเองหรือไม่ ก็ให้เขาตัดสินใจเอง นายไม่ต้องชักชวนเขา”
ฉินซีพูดเตือนอย่างไม่วางใจไปสองประโยค
ความสามารถในการรับรู้ของจ้านเซินนั้นกระตือรือร้นเป็นพิเศษ แค่ความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ก็สามารถถูกเขาค้นพบได้
สิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้คือ ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำตามขั้นตอน เหมือนตามปกติ สภาพผ่อนคลาย แบบนี้จ้านเซินก็จับพิรุธไม่ได้โดยธรรมชาติ
“อืมอืม”
เหยาจ้าวรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ก็ไม่กล้าที่จะปฏิบัติกับมันเหมือนเป็นของเล่น
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
ซุปกระดูกรากบัวนี้จ้านเซินสั่งให้ห้องครัวทำเป็นพิเศษ เขายังต้องไปรายงานสถานการณ์ในวันนี้ของฉินซีให้จ้านเซินรับรู้ ไม่สามารถปล่อยให้เขารอได้
“โอเค”
ฉินซีมองส่งเขาจากไป
ห้องที่ว่างเปล่าเงียบลงทันที มันทำให้ฉินซีรู้สึกไม่สบายใจ
เธออยากให้มีเสียงเสียหน่อย แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในห้องล้วนถูกจ้านเซินเก็บไปหมดแล้ว
ภายในห้องเกลี้ยงเกลามาก สิ่งที่เข้ามาในสายตาล้วนเป็นสีขาว ไม่มีแม้แต่หนังสือพิมพ์ให้คลายความเบื่อหน่าย
มันทำให้ฉินซีหดหู่มาก คิดว่าครั้งต่อไปที่เหยาจ้าวเข้ามา จะต้องให้เขาเอาหนังสือมาซักเล่ม ดีที่สุดต้องเป็นแนวการบำรุงจิตใจและร่างกาย
ฉินซีคิดไม่ถึงว่า จ้านเซินคิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว
หลังจากเหยาจ้าวมารายงานสถานการณ์การกินอาการของฉินซีที่ห้องของจ้านเซินเสร็จแล้ว จ้านเซินก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือส่งให้เหยาจ้าว
“เอาไปให้ฉินซี”
เหยาจ้าวพยักหน้ามองไปที่ปกหนังสือสีน้ำเงิน หันมองชื่อหนังสือด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
เขาตาโตจ้องมองด้วยความประหลาดใจ ไม่คาดคิดมาก่อน นี้คือหนังสือพระไตรปิฎก
นี่มันโค่นล้มจินตนาการของเหยาจ้าวไปเลย เขาคิดมาตลอดว่าบนชั้นหนังสือของจ้านเซินล้วนเป็นหนังสือด้านการทหาร หรือไม่ก็เป็นการวางแผน การวางกลยุทธ์
คิดไม่ถึงว่าคนอย่างจ้านเซินที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา จะอ่านหนังสือที่มีความเมตตาอย่างพระไตรปิฎก
เหยาจ้าวเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “บอส คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้หยิบผิด?”
น้ำเสียงของเขาระมัดระวัง เกรงว่าจะทำให้จ้านเซินโกรธ
จ้านเซินเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “ไม่ผิด”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง ไม่มีอุณหภูมิแม้แต่น้อย
เห็นเขาพูดแบบนี้ เหยาจ้าวก็ปิดปากลงทันที “ครับ ผมจะเอาไปให้ฉินซี”
แม้ว่าเหยาจ้าวจะไม่เข้าใจว่าทำไมจ้านเซินถึงหยิบหนังสือแบบนี้มาให้ฉินซี แต่ก็ยังทำไปอย่างซื่อตรง
ในตอนที่ฉินซีมองเห็นชื่อหนังสือ สีใสก็ปรากฏขึ้นในแววตา
“ให้ฉันเถอะ”
ฉินซียื่นมือออกไป บ่งบอกให้เหยาจ้าวส่งหนังสือให้เธอ
เหยาจ้าวพูดพึมพำ พลางส่งหนังสือให้เธอ “ฉินซี ฉันรู้สึกจริงๆนะว่าจ้านเซินช่วงนี้ไม่ปกติ เขาถึงกับหยิบหนังสือแบบนี้มาให้เธอ เธอว่าเป้าหมายของเขาคืออะไรกันแน่?
เขาเอ่ยปากอย่างไม่เข้าใจ หวังว่าฉินซีจะสามารถตอบข้อสงสัยของเขาได้
“จ้านเซินอยากให้ฉันบำรุงสภาพจิตใจและร่างกาย ชำระตัวเองให้มาก ไม่ต้องไปคิดเรื่องวุ่นวายพวกนั้น ให้สภาพจิตใจมั่นคง ไม่คิดที่จะหนีออกจากองค์กรอีก”
ริมฝีปากสีแดงของฉินซี เปิดปากพูดช้าๆ
เมื่อก่อนตอนที่เธอยังอยู่องค์กร เข้าออกห้องหนังสือของจ้านเซินเป็นประจำ
ครั้งแรกที่ฉินซีเห็นว่าบนชั้นหนังสือของจ้านเซินมีพระไตรปิฎกอยู่ เธอเองก็แปลกใจมาก
แต่ภายหลังพบว่าจ้านเซินไม่หยุดแค่หนังสือแบบนี้เล่มเดียว บนชั้นหนังสือของเขามีทุกแบบทุกประเภท
และเพราะเหตุนี้ แม้ว่าการแสดงออกของจ้านเซินจะเย็นชาไร้อารมณ์ แต่ฉินซีรู้สึกมาโดยตลอด ว่าในใจของจ้านเซินยังคงมีความอบอุ่นอยู่
เหยาจ้าวคิดไม่ถึงว่าการแสดงออกของเขาจะคลุมเครือแบบนี้ คงมีเพียงฉินซีเท่านั้นที่สามารถเข้าใจความหมายได้
“ปริศนาระหว่างพวกเธอ ไม่มีใครเดาออกได้เลยจริงๆ”
บางทีนี่อาจเป็นความเข้าใจไปโดยปริยายจากการที่ฉินซีกับจ้านเซินอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน
“เฮ้อ…..”
ฉินซีถอนหายใจยาว ไม่ได้พูดอะไร
เธอไม่รู้ว่าควรอธิบายเรื่องราวระหว่างเธอกับจ้านเซินยังไง มองเหม่อไปที่พระไตรปิฎกในมือ
ในเวลาต่อมา ฉินซีเอาแต่อยู่ในห้อง อ่านหนังสือที่จ้านเซินให้มาอย่างซื่อตรง ทุกครั้งที่อ่านจบ ก็ให้เหยาจ้าวมาเอาไปคืนจ้านเซิน เปลี่ยนเป็นเล่มใหม่มา
ดูเหมือนว่าเธอจะตกตะกอนได้แล้ว ทุกวันอยู่แต่ในห้อง มากสุดก็ไปอาบแดดที่ระเบียง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
จ้านเซินมักจะยืนอยู่บนที่สูง ดูท่าทางผ่อนคลายของเธอ สังเกตว่าเธอมีความคิดที่จะหนีไปหรือไม่
แต่จ้านเซินเฝ้ามองมาแล้วระยะนึง พบว่าฉินซีไม่คิดจะหนี
มันทำให้ในใจของเขาค่อยๆคลายความระแวดระวังลง
……
อีกด้านหนึ่ง
บาดแผลของลู่เซิ่นเองก็ดีขึ้นมากแล้ว กำลังเข้าสู่การฟื้นฟูสมรรถภาพ
โจวเอ้อได้รับข่าวสารของฉินซีมาแต่แรกแล้ว รู้ว่าแม้ว่าฉินซีจะถูกควบคุมพฤติกรรมอยู่ในองค์กร แต่ในด้านการกินอยู่ จ้านเซินไม่เคยปฏิบัติไม่ดีกับเธอ
หลังรับรู้ข่าวนี้ หัวใจของลู่เซิ่นก็วางไว้ในท้อง
ในขณะที่เขาพักฟื้นอย่างวางใจ ก็ได้วางแผนเรื่องที่จะช่วยฉินซีออกมาขึ้นอีกครั้ง
พอโจวเอ้อกลับมา ก็เห็นลู่เซิ่นกำลังฟื้นฟูสมรรถภาพอยู่อีก “ลู่เซิ่น โจวซิงบอกว่าอาการของนายตอนนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อนให้ได้รับบาดเจ็บ”
ลู่เซิ่นนอนอยู่บนเตียงมาครึ่งเดือน ในที่สุดก็เกือบจะฟื้นตัวได้แล้ว ไม่อาจปล่อยให้บาดแผลปริออกได้
“นายวางใจเถอะ ฉันรู้จักร่างกายของฉันดี”