บทที่1430 ชอบเอาชนะ
ถังย่าหวังว่าความรู้สึกของตนจะเพียงพอให้จ้านเซินรู้สึกได้ ก็ยังกังวลว่าหลังจากรู้สึกแล้ว จ้านเซินจะตัดความรู้สึกนี้ของเธอออกทันทีอย่างเย็นชา
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?”
เห็นถังย่ายังไม่วางสายโทรศัพท์ จ้านเซินก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามอย่างเฉยชา
เสียงของเขาไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย เป็นเหมือนปกติ
แต่ถังย่ากลับรู้สึกมีความน้อยใจอย่างอธิบายไม่ได้ เธออดกลั้นจมูกที่ชา แล้วพูดเบาๆ “ไม่มีแล้ว”
“ฉันวางล่ะ”
พูดจบ ถังย่าก็วางสายโทรศัพท์ไป
เธอไม่อยากฟังจ้านเซินวางสายก่อน ถังย่าเองก็ไม่รู้ว่า ตนเริ่มกลายเป็นคนชอบเอาชนะไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ตู๊ดตู๊ดตู๊ด…..”
จ้านเซินฟังเสียงสายไม่ว่างที่ดังมาจากปลายสาย ขมวดคิ้วลึกยิ่งขึ้น
เขารู้สึกอย่างอธิบายไม่ได้ ว่าอารมณ์ของถังย่าเมื่อกี้มีความผิดปกติ
หรือว่าเธอไปเจอเรื่องอะไรข้างนอกมา?
ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นล่ะก็ ทำไมถังย่าไม่รายงานตั้งแต่ทีแรก
ในใจของจ้านเซิน รู้สึกอย่างแน่นอนเลยว่า ถังย่าไม่มีอะไรทำไม่ได้
ขอแค่องค์กรสั่งให้ถังย่าไปทำภารกิจใดๆก็ตาม ไม่มีอะไรที่ถังย่าทำไม่สำเร็จ
ดังนั้น ครั้งนี้แม้ว่าใจในของจ้านเซินจะมีความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ
เขาเพียงแค่ให้ถังย่าไปเฝ้าดูลู่เซิ่นอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ให้เธอไปทำภารกิจที่อันตรายอะไร ไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น
แม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น แต่ด้วยความสามารถของถังย่า ต้องสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ และจบลงอย่างน่ายินดี
ดังนั้น จ้านเซินจึงไม่ได้โทรกลับไป
เขาเก็บมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กลับไปที่ห้องหนังสือของตน แล้วเริ่มสะสางงาน
……
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือนแล้ว
ครึ่งเดือนมานี้ ภายใต้ความขยันไม่หยุดหย่อนของฉินซี จ้านเซินก็ยิ่งวางใจเธอขึ้นเรื่อยๆ
แล้วร่างกายของฉินซีก็ค่อยๆฟื้นฟูมาจนถึงสภาพที่ดีที่สุด
“เฮ้อ~”
ด้านในห้องฝึก
ฉินซีเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นั่งหอบอยู่กับพื้น
ในตอนนั้นเอง
ประตูห้องก็ถูกเปิดออกกะทันหัน เผยใบหน้าที่หล่อเหลาของจ้านเซิน
จ้านเซินยื่นมือส่งยาเสริมกำลังขวดหนึ่งให้ฉินซี “ดื่มซะ”
ฉินซีรับมาอย่างนิ่งเฉย คิ้วกลับขมวดเข้าหากัน
ไม่ว่าในใจเธอจะไม่เต็มใจแค่ไหน แต่ว่าจ้านเซินมาเฝ้าดูเองถึงที่ เธอก็จำเป็นต้องดื่มเข้าไป
เพียงแต่ ช่วงนี้เหยาจ้าวเอาแต่ทำยาเสริมกำลังรสชาติใหม่
ทุกวันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา รสชาติแม้ว่าจะเบาลง แต่ผลลัพธ์ยังคงไม่ได้อร่อยเท่าไหร่
ฉินซีมองสีฟ้าอ่อนในวันนี้ รู้สึกว่าตนเอองเป็นหนูตะเภาของเหยาจ้าว เอามาใช้เป็นตัวทดสอบ
“เฮ้อ!”
ฉินซีถอนหายใจเงียบๆในใจ ไม่ได้อ้อยอิ่งต่อ
เธอไม่ได้พูดต่อ เงยหน้าขึ้นทันที แล้วเทลงไป
เดิมทีฉินซีนึกว่ารสชาติจะยังคงแย่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเข้าปากแล้วจะมีรสหวาน
ดวงตาสีอำพันเผยความประหลาดใจ “นี่มัน….”
เธอไม่คิดว่า รสชาติจะค่อนข้างดี ไม่ขมเลยซักนิด
“เป็นไงบ้าง อร่อยขึ้นเยอะเลยใช่ไหม”
เหยาจ้าวโผล่ออกมาจากด้านหลังของจ้านเซิน ใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
นี่คือสิ่งที่เขาใช้สมาธิคิดค้นขึ้นเป็นเวลานาน ถึงทำออกมาได้
“อร่อยขึ้นเยอะเลย”
ฉินซีพยักหน้า เทียบกับรสชาติเดิมนั่นแล้ว รสชาติในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นอาหารอันโอชะของโลกเลย
ได้รับการยืนยันจากฉินซี รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยาจ้าวก็ค่อยๆกว้างขึ้น
เขาหยิบยาเสริมกำลังหลากหลายสีออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างอิ่มอกอิ่มใจ “ที่ฉันยังมีรสชาติอื่นอีก เธออยากชิมไหม”
เหยาจ้าวเขย่าขวดเล็กๆที่มีสีสันตรงหน้าฉินซี
เดิมทีฉินซีไม่ได้คาดหวัง แต่รสชาติขวดเมื่อกี้ไม่เลวเลยจริงๆ มันทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของฉินซีเพิ่มขึ้น “ฉันจะลอง”
ถึงยังไงเธอก็เป็นหนูตะเภามาหลายครั้งแล้ว เป็นอีกซักครั้งจะเป็นไรไป
ฉินซีกำลังจะรับไป แต่กลับถูกจ้านเซินหยุดไว้
ทั้งสองมองไปที่จ้านเซินด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงขวางฉินซีไว้
จ้านเซินเผชิญหน้ากับการจ้องมองของทั้งสอง เอ่ยปากเบาๆ “ของแบบนี้ ดื่มได้ครั้งละไม่เกินสามขวดเท่านั้น มากเกินไปจะเป็นภาระของร่างกาย”
พลังงานที่ร่างกายมนุษย์ต้องการมีอยู่แล้ว ฉินซีจะดื่มมากแค่ไหน ที่สามารถดูดซึมได้ก็มีแค่นั้น
ถ้าดื่มมากเกินไป พลังงานส่วนเกินเหล่านี้จะสะสมอยู่ในร่างกาย
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเธอดูดซึมได้ยาก ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์เช่นท้องร่วง
“งั้นฉันเลือกชิมขวดนึงแล้วกัน ส่วนที่เหลือค่อยดื่มครั้งหน้า”
ฉินซีเองก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน ไม่ได้ตรวจสอบต่อไป
เห็นทั้งสองต่างพูดแบบนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่เหยาจ้าวจะไม่กล้าเสนอความเห็นที่ขัดแย้ง
อีกอย่าง เมื่อกี้เขาก็ไม่ได้เตรียมให้ฉินซีดื่มทั้งหมด
เป็นหมอที่พัฒนาขึ้นมาเองทั้งหมด ความรู้ข้อนี้ เหยาจ้าวเข้าใจดี
“อืม”
จ้านเซินพยักหน้า
ช่วงนี้ฉินซีว่านอนสอนง่ายขึ้นเรื่อยๆ พูดง่ายขึ้นเรื่อยๆ
มันทำให้จ้านเซินปลื้มใจมาก คงจะดีถ้าเธอสามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้
“อืม…..ฉันจะเอารสอะไรดีล่ะ?”
ฉินซีมองไปที่สีที่แตกต่างหลายสีตรงหน้า ความสับสนก็เริ่มขึ้น
เหยาจ้าวเอ่ยปากพูดนำเสนอ “สีฟ้านี่รสบลูเบอรี่ สีชมพูรสลูกพีช สีแดงรสสตอเบอรี่ สีเหลืองเป็นรสส้ม….”
เขาอธิบายรสชาติทั้งหมดให้ฉินซีฟังในเฮือกเดียว ความตะกละในท้องของฉินซีก็เริ่มปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยากกินผลไม้มาก
เพื่อที่จะได้ไปโรงอาหารโดยเร็ว ได้กินผลไม้ที่แสนอร่อย ฉินซีหลับตาลง เริ่มเล่นจ้ำจี้
นี่เป็นเกมที่เธอกับจ้านเซินเล่นด้วยกันตอนเด็ก
แม้ว่าตอนเด็กในองค์กรเองก็เข้มงวดกับพวกเขามาก แต่ก็ยังพอมีเวลาอิสระ
ถึงอย่างไรความสามารถด้านความอดทนของเด็กกับผู้ใหญ่ก็ไม่เหมือนกัน บังคับมากเกินไป ก็จะถูกต่อต้าน
“จ้ำจี้มะเขือเปาะแปะ ไม่ใช่นายก็เป็นเขา!”
จ้านเซินมองฉินซีที่หลับตาอยู่ เริ่มตาบอดเลือก ความคิดของเขาก็กลับไปสู่อดีตทันที
ในตอนนั้นฉินซีเจอกับเรื่องที่ไม่อาจตัดสินใจได้ ก็ใช้วิธีการเลือกแบบนี้เหมือนกัน
นิสัยเล็กๆมากมายของเธอ ยังคนเป็นเหมือนตอนเด็ก ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ ในใจและในสายตาของฉินซีเมื่อก่อน มีแต่เขา ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นลู่เซิ่น
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจของจ้านเซินก็รับไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ซับซ้อนแวบขึ้นมาในดวงตาสีเข้ม เขาจ้องตรงไปที่ใบหน้าขาวนวลของฉินซี แววตาแผดเผา ให้ฉินซีไม่อาจทำอะไรที่ต้องการให้เกิดขึ้นได้
“นั่นคือเขา!”
ฉินซีทำต่อไปไม่ได้แล้ว เธอลืมตาขึ้นทันที ใช้นิ้วชี้ไปที่อันหนึ่ง
“รสสตอเบอรี่”
หลังฉินซีรับมา ก็เปิดฝาออก ชิมอย่างละเอียด
ครั้งนี้เธอรู้ว่าไม่ขมแล้ว ก็ไม่ได้บุ่มบ่ามเหมือนเมื่อกี้
หวานหวานเปรี้ยวเปรี้ยว แล้วยังมีรสชาติของสตรอเบอร์รี่นิดหน่อย มันทำให้ฉินซีชอบมาก
ฉินซีกล่าวด้วยความชื่นชม “ไม่เลว! ไม่เลว!”