คาดว่าวิธีการยับยั้งเธอที่พอจะคิดได้ จ้านเซินได้ใช้ทั้งหมดแล้ว
แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อที่จะได้พบลู่เซิ่นในเร็ววัน ฉินซีจึงตอบรับไปอย่างไม่มีทางเลือก “โอเค ฉับรับปากนายทั้งหมด”
ฉินซีรับปากอย่างสบายๆ มันทำให้จ้านเซินไม่อยากจะเชื่อ
จ้านเซินขมวดคิ้ว เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ “เธอแน่ใจหรอว่าจะทำได้อย่างที่พูด”
ไม่ใช่ว่าจ้านเซินไม่เชื่อใจฉินซี แต่เป็นเพราะเธอมีประวัติทำผิดอยู่หลายครั้ง
ไม่ง่ายเลยที่จะพาฉินซีกลับมา จ้านเซินไม่อยากเห็นเธอถูกลู่เซิ่นแย่งไปอีกครั้ง
ฉินซีเปิดตาที่แคบยาว มองตรงไปที่จ้านเซิน “ถ้าฉันทำไม่ได้ นายสามารถส่งคนไปจับฉันกลับมาได้ทุกเมื่อ ถึงยังไงฉันก็หนีได้ไม่ไกล”
เธอรู้ความกังวลของจ้านเซิน ในใจของฉินซีรู้ดี แม้ว่าจ้านเซินจะปล่อยให้เธอออกไป แต่ใจที่ระแวดระวังเธอกลับไม่ได้ลดลงเลย
ตอนนี้ฉินซีจำเป็นต้องอยู่อย่างสงบไปซักระยะ รอจนถึงตอนที่จ้านเซินรู้สึกว่าได้แล้ว เธอค่อยเคลื่อนไหว
“อืม”
จ้านเซินได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็พยักหน้า
ด้วยความสามารถของตนกับองค์กรแล้ว จ้านเซินยังคงมั่นใจมาก
ในเมื่อเขาสามารถจับฉินซีกลับมาได้ครั้งนึงแล้ว งั้นก็สามารถจับกลับมาสองครั้งได้
จ้านเซินไม่อยากพูดเยอะ หลีกเลี่ยงไม่ให้ฉินซีมีใจขัดขืนอีกครั้ง
เขาขยับริมฝีปาก “หลังกินข้าวเสร็จแล้ว ฉันจะให้คนเอาเนื้อหาภารกิจที่ต้องทำไปให้เธอ พรุ่งนี้เธอออกไปกับพวกเขาก็โอเคแล้ว”
เสียงของจ้านเซินสงบนิ่ง แต่มีเพียงเขาที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าแท้จริงแล้วตอนนี้เขารู้สึกแบบไหน
เขาหวังเพียงว่า ครั้งนี้ฉินซีจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“โอเค”
ฉินซีพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ตื่นเต้นในใจ
แม้เธอจะรู้ว่า ครั้งนี้เธอออกไปก็ไม่ได้เจอลู่เซิ่น
แต่เมื่อคิดว่าเธอเข้าใกล้เป้าหมายของตนไปอีกขั้นแล้ว ในใจของฉินซีก็มีความสุขอย่างมาก
ฉินซีเชื่อว่า ขอแค่พยายาม ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้
……
โรงพยาบาล
“นายว่าอะไรนะ?”
ลู่เซิ่นมองไปที่โจวเอ้อที่ยืนอยู่ตรงข้ามตนด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาสงสัยอย่างมากว่าหูของตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า
“นายไม่ได้ฟังผิด ฉินซีจะออกมาทำภารกิจแล้วจริงๆ”
โจวเอ้อทวนคำพูดเมื่อกี้ซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงสงบนิ่ง
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว “จ้านเซินเป็นคนอนุญาตให้เธอออกมาหรอ?”
เขาเอ่ยถาม สายตามองตรงไปที่โจวเอ้อ
ภายใต้การจ้องมองของลู่เซิ่น โจวเอ้อพยักหน้า “ใช่”
เงื่อนไขขององค์กรเคร่งครัดขนาดนั้น ปราศจากคำอนุญาตของจ้านเซินแล้ว ฉินซีไม่อาจออกมาได้เลย
เรื่องนี้ไม่แม้แต่จะต้องคิด ก็สามารถรู้ได้
แต่ว่าลู่เซิ่นยังคงรู้สึกว่ามีส่วนที่แปลกอยู่ ดูผิดปกติ
ดวงตาสีเข้มของลู่เซิ่นเผยแสงที่มีความหมายลึกซึ้ง “โจวเอ้อ นายคิดว่าทำไมจ้านเซินถึงปล่อยฉินซีออกมาทำภารกิจ? ถ้าเป็นนาย นายจะทำแบบนี้ไหม?”
ถ้าเป็นเขาล่ะก็ หลังจากพาฉินซีไปขังไว้แล้ว ถ้าไม่ถึงหนึ่งปีครึ่ง จะไม่มีทางปล่อยให้ฉินซีออกมาอีกเด็ดขาด
แต่ว่า ตอนนี้พึ่งกลับไปองค์กรได้แค่เดือนกว่า จ้านเซินก็ให้อิสระฉินซีแล้ว
เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
อันที่จริง จ้านเซินเองก็มีความกังวลเช่นกัน
แต่ว่า จ้านเซินอยากรู้มากกว่า ว่าในใจของฉินซีคิดยังไงอยู่
ตอนนี้ร่างกายของลู่เซิ่นก็ฟื้นตัวจนเกือบจะหายดีแล้ว ฉินซีจะละทิ้งองค์กรโดยทันที แล้วโผเข้าหาอ้อมแขนของลู่เซิ่นอีกครั้งไหม ใช้โอกาสนี้บินหนีไปกับลู่เซิ่น
อันที่จริง โจวเอ้อเองก็ไม่เข้าใจ
“ไม่ทำ”
โจวเอ้อส่ายหัว พูดความคิดเห็นของตนออกมา
ในสายตาของเขา สิ่งที่ไม่ได้ได้มาง่ายๆ ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้ออกมาได้อีก
ในเมื่อเขาได้มาแล้ว ก็ยิ่งต้องจับไว้ในมือให้แน่น เมื่อไหร่ที่เบื่อแล้ว ไม่ต้องการแล้ว ค่อยทิ้งไป
นี่อาจเป็นความคิดที่เกือบทุกคนมีอยู่ในใจ
แต่ว่าจ้านเซินเติบโตขึ้นมาภายใต้สถานการณ์แบบนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาและแนวคิดของเขาไม่เหมือนกับพวกเขา
โจวเอ้อคิดว่า พวกเขาไม่ควรใช้ความคิดทั่วไปมาคาดเดาใจของจ้านเซิน
ถึงอย่างไร คนที่ออกมาจากในองค์กรนั้น ก็ไม่มีใครมีความคิดที่ปกติอยู่แล้ว
ความคิดของโจวซิงเหมือนกันกับโจวเอ้อ “ลู่เซิ่น นายอย่าไปคิดอะไรเยอะ ครั้งนี้แม้ว่าฉินซีจะออกมาทำภารกิจได้ แต่จ้านเซินจะต้องสอดแทรกสายตามากมายไว้ข้างกายเธอแน่ เพื่อจ้องมองฉินซี ถ้าฉินซีกับนายมีการเชื่อมโยงกันแม้ซักนิด งั้นสิ่งที่พวกเราทำมา และการแบกรับของฉินซีที่องค์กร ก็จะศูนย์เปล่า”
โจวซิงพูดอย่างหนักแน่น เขาในฐานะคนนอก เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
จากมุมมองด้านจิตวิทยา เวลาที่จ้านเซินชอบใครซักคน แนวคิดของเขานั้นสุดโต่งมาก
หลายครั้งที่เขาตัดสินใจลงไป โดยที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจ
จ้านเซินด้านหนึ่งก็อยากปล่อยฉินซีไป ให้เธอมีความสุข อีกด้านก็อยากให้ฉินซีอยู่ต่อ ร่วมกับเขา
ทุกวันเขาจมอยู่กับอารมณ์ที่พัวพันกัน จิตใจราวกับความยุ่งเหยิง
เพียงแวบเดียวโจวซิงก็มองความคิดของจ้านเซินออก
หนึ่งเดือนกว่ามานี้ ลู่เซิ่นพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างซื่อตรง ปกติอย่างมากก็เดินเล่นอยู่ในสนาม แม้แต่ประตูใหญ่ของโรงพยาบาลยังไม่เหยียบออกไปซักก้าวเดียว
แม้ว่าลู่เซิ่นจะดูเหมือนถอดใจแล้ว แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ลู่เซิ่นเพียงแค่ข่มธรรมชาติของตนเองไว้ เขาไม่อยากละทิ้งความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของฉินซี
แต่ว่า เมื่อได้ยินว่าฉินซีจะออกมาทำภารกิจ หัวใจทะเลสาปที่เดิมทีสงบนิ่ง ราวกับเข้าสู่ก้อนหินเล็กๆนั้น ก็เริ่มกระเพื่อมเป็นระลอก
คำเตือนของโจวซิง ดังอยู่ข้างหู
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ภายในใจมีความรู้สึกหลากหลาย
โจวเอ้อมองไปที่ท่าทีนิ่งเงียบไม่พูดจาของเขา ถอนหายใจอย่างเงียบๆในใจ “ลู่เซิ่น ที่โจวซิงพูดก็มีเหตุผล เราทนกันมานานขนาดนี้แล้ว ครั้งนี้จะทนไม่ได้หรอ?”
เขาเองก็ร่วมพูดกล่อมลู่เซิ่น
โจวเอ้อพูดต่อ “อีกอย่างครั้งนี้ทางฝั่งฉินซีเองก็บอกข้อมูลฉันมา ว่าจ้านเซินไม่เพียงแต่จัดเตรียมคนให้มากับเธอ เฝ้าสังเกตเธอ แต่ยังติดตั้งระบบบนตัวเธอ คิดจะไปเจอกันโดยหลีกเลี่ยงสายตา มันเป็นเรื่องที่ยากเกินไป ฉินซีไม่กล้าเสี่ยง ดังนั้นเลยตัดสินใจว่าครั้งนี้จะยังไม่มาเจอ”
นี่เป็นคำพูดเดิมของฉินซี แม้ว่าจะไม่ได้เจอลู่เซิ่น ในใจของฉินซีเองก็เศร้ามาก แต่เมื่อนึกถึงความยากลำบากที่เผชิญอยู่ตอนนี้ ล้วนแต่เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นหลังจากนี้ ฉินซีก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“ฉินซีบอกว่า หลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว เธอจะหาโอกาสมาพบนาย หวังว่านายจะสามารถยืนหยัดต่อไป ไม่ยอมแพ้”
ตอนที่โจวเอ้อพูดอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฉินซีเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งด้วยตัวเองมากจริงๆ
ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้ก็อาจยอมแพ้ไปนานแล้ว