บทที่1436 ตัวแทน
ลู่เซิ่นมองไปที่ท่าทางดีใจของโจวเอ้อ ก็รู้ว่ามีข่าวดีมาแล้ว
เขารีบเอ่ยปากถาม “เป็นไงบ้าง? มีคำตอบมาจากทางฉินซีแล้วใช่ไหม?”
ลู่เซิ่นรออยู่ในห้องผู้ป่วยมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว ปกติเขาไม่ได้รู้สึกว่าสองชั่วโมงเป็นเวลานาน อาจจะแค่จัดการเอกสาร เปิดการประชุมระยะสั้นเวลาก็ผ่านไปแล้ว
แต่ว่า ลู่เซิ่นในวันนี้กลับกระสับกระส่าย
เขากลัวมากว่าฉินซีจะปฏิเสธ เขาอยากเจอฉินซีมากเกินไปจริงๆ
โจวเอ้อพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “อืมอืม ฉินซีตอบตกลงแล้ว”
เขาพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข
โจวเอ้อรู้ ว่าลู่เซิ่นปรารถนาที่จะเจอฉินซีมากแค่ไหน ตอนนี้นับว่าความปรารถนาของลู่เซิ่นเป็นจริงแล้ว ในฐานะเพื่อนและลูกน้องของเขา เขาดีใจมากจริงๆ
มุมปากของลู่เซิ่นโค้งขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่เย็นเยือกก็อบอุ่นขึ้นมาทันที “งั้นก็ดี ฉินซีว่ายังไงบ้าง นายรีบบอกฉันเร็ว”
เขาจำเป็นต้องรู้โดยเร็ว แล้วก็เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ
ภายใต้การไล่ถามของเขา อารมณ์ของโจวเอ้อค่อยๆสงบลง “ฉินซีบอกว่าเธอตกลง แต่ว่ามีเงื่อนไข เอบอกว่า สถานที่ทำภารกิจในครั้งนี้อยู่ในงานเลี้ยง จ้านเซินจะต้องแทรกแซงคนสอดแนมมาเยอะแยะแน่นอน เพื่อป้องกันการปรากฏตัวของนาย ฉินซีให้พวกเราสังเกตสถานที่ไว้ล่วงหน้าก่อน ยืนยันความปลอดภัยขอองสถานการณ์ ค่อยให้นายเข้าไป”
พูดถึงตรงนี้ โจวเอ้อก็ชะงัก “ถ้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกจ้านเซินรู้เข้า การพบกันในครั้งนี้ ก็ยกเลิกไปก่อน เธอไม่ให้นายหุนหันพลันแล่น เห็นแก่อนาคตของพวกนาย”
ความมีสติของฉินซี ทำให้โจวเอ้อชื่นชมมาก
บนโลกนี้มีผู้หญิงไม่กี่คนที่กล้าหาญมีไหวพริบได้อย่างฉินซี ถ้าเธออยู่ในสมัยโบราณ จะต้องเป็นวีรสตีเหมือนฮัวมู่หลานแน่นอน ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าผู้ชาย
ลู่เซิ่นพยักหน้า “ฉันรู้”
แน่นอนว่าเขารู้ถึงความร้ายแรงของมัน ทนไม่ได้ที่จะเนรคุณความคาดหวังของฉินซี
ขยับปากบาง ลู่เซิ่นเอ่ยปากอย่างมีสติ “งั้นนายก็ไปทำตามคำสั่งของฉินซีเถอะ แล้วก็หาคนที่ไว้ใจได้ รูปร่างคล้ายกับฉัน มาที่ห้องผู้ป่วยของฉัน ให้เขามาแทนฉัน ระวังอย่าให้คนจากฝั่งถังย่ารู้เข้าเด็ดขาด”
ลู่เซิ่นรู้ ช่วงนี้ถังย่าเอาแต่เตร็ดเตร่อยู่รอบๆโรงพยาบาล
ไม่ต้องคิดก็รู้ ว่าจ้านเซินส่งถังย่ามาเฝ้าสังเกตเขาแน่นอน
ถ้าจัดการถังย่าไป มันก็จะเป็นตราบาปติดตัว
ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมานี้ ลู่เซิ่นจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ตบตาถังย่า
ขอแค่สามารถหลอกลวงถังย่าได้ ทางฝั่งจ้านเซินก็จะจัดการง่ายขึ้น
อีกอย่างการมีอยู่ของถังย่า ยังเป็นพยานให้เขาได้หลายครั้ง ว่าเขาไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล
หลังโจวเอ้อฟังคำพูดของเขาจบ แววตาก็เป็นประกายเล็กน้อย
“โอเค ฉันจะไปจัดการ”
ความคิดของลู่เซิ่นนั้นชาญฉลาดจริงๆ ใช้คนของจ้านเซินมาช่วยปกปิด ไม่มีเรื่องไหนปลอดภัยไปกว่านี้แล้ว แต่ก่อนอื่นถังย่าจะต้องไม่พบความน่าสงสัยในนั้น
โจวเอ้อเคยเห็นความสุดยอดของถังย่ามาก่อน จะเล่นละครตบตาถังย่า ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอย่างแน่นอน
ดังนั้น เขาจำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวัง จะทำลายแผนการของลู่เซิ่นไม่ได้โดยเด็ดขาด
“อื้มอื้ม ลำบากนายแล้วนะ”
ลู่เซิ่นพูดพลางยิ้มเล็กน้อย มองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน
นึกถึงว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้เจอฉินซีแล้ว อารมณ์ของลู่เซิ่นก็ดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อมองรอยยิ้มที่หายไปนานบนใบหน้าของลู่เซิ่น โจวเอ้อก็ส่ายหัว “ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องที่ฉันควรทำ นายพักผ่อนให้ดีเถอะ ฉันจะไปหาคนก่อน ดึกๆจะให้เขามาเปลี่ยนตัวกับนาย”
โจวเอ้อพูด พลางเดินออกไปทางประตู
หลังจากลู่เซิ่นมองส่งเขาจากไปแล้ว ก็ลงจากเตียง
เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองท้องฟ้ายามค่ำคืนนอกหน้าต่าง ดวงตาสีเข้มเผยประกายแสงสลัว
“ฉินซี ฉันคิดถึงเธอจัง”
ลู่เซิ่นพูดพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
……
หลังจากโจวเอ้อออกมาจากประตูห้องผู้ป่วยแล้ว ก็ตามหาโจวซิงอย่างไม่หยุดหย่อนจนเจอ ปรึกษาเรื่องนี้กับโจวซิง
“อะไรนะ? พวกนายจะทำอย่างนั้นกันจริงๆหรอ?”
หลังโจวซิงได้ฟังแล้ว ใบหน้าก็เผยความตกใจ ในน้ำเสียงมีความโกรธเคือง
เขารู้สึกจริงๆ ว่ามันไว้ใจไม่ได้
ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นเพียงแค่กับดักของจ้านเซิน รอพวกเขากระโดดเข้าไป
โจวซิงเคยเห็นความเจ้าเล่ห์ของจ้านเซินมาครั้งนึงแล้ว ตอนนี้ทุกครั้งที่เจอเรื่องอะไร ปฏิกิริยาอย่างแรกคือหวาดระแวง
“นายเสียงเบาลงหน่อย!”
“นายอยากให้ทุกคนรู้หมดหรอ?”
โจวเอ้อเห็นเขาโวยวาย ใบหน้าก็มืดลงทันที
เขาจ้องโจวซิงอย่างไม่พอใจ เอ่ยปากพูด “นิสัยของลู่เซิ่นหัวแข็งแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่านายไม่รู้ ทางฉินซีเองก็บอกแล้ว ว่าให้พวกเราดูตามสถานการณ์ ถ้าเกิดว่าไม่ได้จริงๆ ก็ยอมแพ้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเจออให้ได้ โจวซิง นี่เป็นโอกาศนะ!”
ในใจของโจวเอ้อเองก็เหมือนกับลู่เซิ่น อยากที่จะลองดู
โจวซิงเห็นเขาพูดแบบนี้ ได้แต่ถอนหายใจยาว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ได้”
แม้ว่าในใจเขายังคงกังวลอยู่นิดหน่อย แต่โจวเอ้อกับลู่เซิ่นเข้าร่วมแล้ว ในฐานะพี่น้อง เขาก็ไม่อาจเฝ้าดูพวกเขาสองคนลำบาก แล้วตัวเองสบายอยู่คนเดียว
“นายจะให้ฉันทำอะไร?”
โจวซิงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“ดึกๆฉันจะหาคนมาอยู่โรงพยาบาลแทนลู่เซิ่น เพื่อให้จ้านเซินกับถังย่าสับสน ถึงตอนนั้นนายไม่ต้องทำอะไร ทำการตรวจร่างกายให้เขาตามปกติ ทุกอย่างให้เหมือนปกติ อย่าให้เกิดความแตกต่างอะไรขึ้นเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
เดิมทีโจวเอ้อไม่อยากบอกแผนการในครั้งนี้กับเขา แต่นึกถึงนิสัยตื่นตูมกังวลของโจวซิง ถึงตอนนั้นเห็นว่าเปลี่ยนตัวลู่เซิ่น จะต้องแปลกใจมากแน่ ถ้าวุ่นวายจนคนอื่นรู้ขึ้นมาจะลำบาก
“โอเค ฉันรู้แล้ว”
โจวซิงพยักหน้าด้วยใบหน้าจริงจัง เก็บสีหน้าหยอกล้อตามปกติเอาไว้
โจวเอ้อก้าวไปข้างหน้า ตบบ่าของเขา แล้วถอนหายใจ “ลำบากนายแล้ว”
เขารู้ว่าในใจของโจวซิงนั้นไม่เต็มใจแน่นอน
“ไม่ลำบาก ขอแค่ได้ช่วยฉินซีกับลู่เซิ่น ฉันก็ไม่มีอะไรจะบ่น”
โจวซิงส่ายหัว พูดขึ้นช้าๆ
อันที่จริง เขาไม่ได้ไม่เต็มใจช่วย โจวซิงแค่กังวลว่าลู่เซิ่นจะติดกับดัก ถึงตอนนั้นตกไปอยู่ในอันตรายแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
“ฉันเข้าใจว่านายหวังดีกับพวกเรา แต่นี่เป็นการตัดสินใจของพวกเขาสองคน พวกเราในฐานะเพื่อนกับลูกน้อง อะไรที่ทำได้ก็ทำอย่างเต็มที่ ช่วยพวกเขาบรรลุความปรารถนา ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ขอแค่พวกเขาไม่เสียใจก็พอ”
ถึงอย่างไรโจวเอ้อก็โตกว่าโจวซิง ความคิดก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าโจวซิงเล็กน้อย
เขารู้จักน้องชายของตนดี ไม่ได้ชั่วร้าย แต่ยังมีความไร้เดียงสา พิจารณาเพียงด้านเดียวเท่านั้น รอเขาโตถึงวัยที่เหมาะสมก็โอเคแล้ว
“อื้ม โอเค”
โจวซิงเม้มปาก พยักหน้า