บทที่ 1441 เสี่ยงเพราะเข้าตาจน
ถ้าลู่เซิ่นกับฉินซีอยากจะพูดคุยกัน มีแต่ที่นี่เท่านั้นที่เหมาะสม
แต่ พวกเขาไม่มั่นใจว่าถึงเวลาแล้วจะมีโอกาสพูดคุยกัน
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว “โจวเอ้อ ตอนนี้นายช่วยฉันหาโอกาสละกัน”
แม้วิธีนี้จะเสี่ยงอันตรายมาก แต่ลู่เซิ่นยังอยากจะลองดู
“ฉันจะพยายามละกัน”
โจวเอ้อพูดอย่างลำบากใจ ใช่ว่าเขาไม่เต็มใจช่วยเหลือ แต่เขาไม่มั่นใจว่าฝ่ายจ้านเซินจะมีคนมาเท่าไร
เหยาจ้าวแม้จะอยู่ในองค์กร แต่เขารู้ข้อมูลน้อยมาก
จ้านเซินเป็นคนระมัดระวังมากอยู่แล้ว ครั้งก่อนเพราะคำพูดของถังย่า เขาเริ่มสงสัยเหยาจ้าวแล้ว
ตอนนี้เรื่องสำคัญอย่างนี้ เขาไม่น่าจะให้เหยาจ้าวเข้าร่วมแน่
ลู่เซิ่นเองก็รู้ดี เรื่องนี้ทำได้ยากมาก
เขาถอนหายใจ ตบบ่าโจวเอ้อ “โจวเอ้อ ลำบากนายแล้ว”
ช่วงนี้ที่ลู่เซิ่นอยู่โรงพยาบาล โจวเอ้อเป็นคนที่ต้องทำงานหนัก
เขาต้องช่วยดูแลลู่เซิ่น และยังต้องไปประสานงานกับเหยาจ้าว เพื่อสืบข่าวคราวอีก
ลู่เซิ่นเข้าใจเขาลำบาก จึงรู้สึกขอบคุณเขามาก
โจวเอ้อเห็นสายตาลึกซึ้งของเขา ก็ส่ายหน้า “ลู่เซิ่น นายอย่าพูดอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนาย หรือเป็นลูกน้อง นี่เป็นเรื่องที่ฉันควรทำ”
เขาพูดอย่างจริงใจ ไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องหนักหนาอะไร
ลู่เซิ่นพยักหน้า “เหยาจ้าวทางนั้นมีข่าวอะไรมั้ย ช่วงนี้ ฉินซีใกล้มาถึงแล้วยัง”
ตอนนี้พวกเขาติดต่อฉินซีโดยตรงไม่ได้ จึงต้องผ่านเหยาจ้าวเท่านั้น
แม้ว่าฉินซีจะออกมาปฏิบัติภารกิจ แต่จ้านเซินเก็บอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดไปหมดแล้ว เธออยากจะส่งข่าวให้ลู่เซิ่นนั้นเป็นไปไม่ได้
“อ้อ อีกชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
โจวเอ้อบอกข่าวที่รู้มากับเขา “เท่าที่เหยาจ้าวบอก พอฉินซีมาถึงแล้ว จะตรงไปงานเลี้ยง สำรวจลักษณะพื้นที่รอบหนึ่ง เพื่อเตรียมทำงานคืนพรุ่งนี้”
เขาไม่ปิดบังอะไร เพื่อไม่ให้ลู่เซิ่นโกรธ
ลู่เซิ่นครุ่นคิด “โจวเอ้อ นายว่าไง วันนี้คนน้อย ฉวยจังหวะตอนที่สปายของจ้านเซินยังไม่เข้าพื้นที่ ไปเจอหน้าฉินซีก่อนเป็นยังไง”
เขารู้สึก วิธีนี้เป็นวิธีที่คาดไม่ถึงมากที่สุด
ถ้าเป็นคนปกติ จะต้องอาศัยจังหวะที่เริ่มงานเลี้ยงไปแล้วลงมือ
ในเมื่อตอนนั้นคนเยอะ เคลื่อนไหวสะดวก
แต่ เพราะอย่างนี้ จ้านเซินจะต้องกระชับการป้องกันแน่
เมื่อเทียบกับการเสี่ยงอันตรายตอนนั้น สู้ไปตอนนี้ไม่ได้
จ้านเซินคิดไม่ถึงจุดนี้แน่ เขาจะต้องรู้สึกตามเหตุผลว่า ลู่เซิ่นจะต้องปรากฏตัวคืนวันงานแน่
โจวเอ้อฟังเขาพูดอย่างนี้แล้ว ชะงักไป
เขาครุ่นคิด ก่อนที่จะพยักหน้า “ก็มีเหตุผล”
โจวเอ้อสีหน้าลังเล “แต่ไปอย่างนี้ จะอันตรายไปมั้ย”
ตอนนี้ที่นั่นคนน้อยมาก
ถ้าถูกจับได้ล่ะก็ คงจะยุ่งยากมาก
ลู่เซิ่นเม้มริมฝีปาก “ไม่เข้าถ้ำเสือจะจับเสือได้ยังไง”
ไม่ว่าจะเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน ครั้งนี้ เขาจะต้องเจอฉินซีให้ได้
“ต่อให้ไปพรุ่งนี้ ก็เสี่ยงเหมือนกันอยู่ดี ใช่มั้ยล่ะ”
ลู่เซิ่นจ้องมองเขา ย้อนถาม
เขาอยากเจอฉินซีจริงๆ ต่อให้ต้องสละชีวิต ก็ไม่เสียดายสักนิด
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คำพูดของลู่เซิ่น มีเหตุผลจริงๆ
ทำให้โจวเอ้อตอบโต้ไม่ได้
ใช่แล้ว!
ในเมื่อตัดสินใจทำแล้ว จะมัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ที่นี่ทำไมกัน
ไม่ว่าตอนไหน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยทั้งนั้น
โจวเอ้อไม่อยากชักช้าร่ำไรอีกแล้ว
“ดี งั้นตอนนี้พวกเราควรทำยังไง”
โจวเอ้อครุ่นคิด ก่อนที่จะตอบตกลงในที่สุด
ความคิดที่สวนทางกับคนทั่วไป ไม่แน่อาจจะเป็นแผนที่ดีก็ได้
ลู่เซิ่นเห็นเขาเห็นดีด้วยกับความคิดของตน ดวงตาคู่นั้นก็มีรอยยิ้ม “โจวเอ้อ นายไปเอาชุดพนักงานเสิร์ฟที่เตรียมไว้มา เราเปลี่ยนชุดแล้วไปกันเลย”
พวกเขาต้องรีบก่อนที่ฉินซีและคนขององค์กรจะไปถึง ถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงก่อน
ลู่เซิ่นเตรียมปลอมเป็นพนักงานข้างใน หาโอกาสเข้าใกล้ฉินซี
“โอเค”
โจวเอ้อตอบรับ แล้วลุกขึ้นออกไปจากห้อง
เดิมเขาคิดว่าลู่เซิ่นจะรอเขาที่ห้องรับแขก แต่นึกไม่ถึง ตอนที่เขาออกมา อยู่ๆ ลู่เซิ่นก็หายไปแล้ว
โจวเอ้อขมวดคิ้ว สีหน้าสับสน
ลู่เซิ่นคงเกรงว่าจะทำให้ตัวเองลำบาก ถึงได้ทิ้งเขาไว้ไปคนเดียว
โจวเอ้อเกิดความคิดในทางร้ายแวบเข้ามาในหัว ในใจเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณเตือนภัย
เขาลนลานทิ้งเสื้อผ้าในมือ รีบสาวเท้าออกไปข้างนอก
ไม่ได้ เขาจะปล่อยให้ลู่เซิ่นไปเสี่ยงตายคนเดียวไม่ได้
ขณะที่โจวเอ้อจะผลักประตูนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังออกมาจากในห้อง
ลู่เซิ่นเห็นท่าทางโจวเอ้อรีบร้อนอย่างนั้น ขมวดคิ้ว
“โจวเอ้อ นายจะทำอะไร”
ใบหน้าของลู่เซิ่นบ่งบอกว่างงงวย เขาไม่เข้าใจ เขาแค่ให้โจวเอ้อไปหยิบเสื้อผ้าเท่านั้น ทำไมเขาถึงมีท่าทีสับสน
โจวเอ้อคิดจะออกไปตามลู่เซิ่น เขาคิดจะรีบไปห้ามลู่เซิ่น ไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้โจวเอ้อตกใจ เสียงนี้คุ้นหูมาก เขาหันไปสีหน้าท่าทางเซ่อซ่า ก็เจอเข้ากับดวงตาของลู่เซิ่นลึกซึ้งเหมือนถ้ำมืด
“ลู่เซิ่น”
โจวเอ้อยืนนิ่งอึ้งพึมพำกับตัวเอง
สามวินาทีต่อมา โจวเอ้อก็รู้สึกตัวในที่สุด
โจวเอ้อรีบเดินเข้าไปหาลู่เซิ่น รีบพูดขึ้น “ลู่เซิ่น นายทำฉันตกใจแทบตาย ฉันนึกว่านายหนีไปคนเดียวแล้ว”
ใบหน้าของเขามีความโกรธบางๆ ถ้าหากลู่เซิ่นทิ้งเขาไปจริงๆ ล่ะก็ เขาจะต้องโกรธมากแน่
ลู่เซิ่นมองสายตาวิตกกังวลของเขา มุมปากเผยอนิดหนึ่ง เขาพูดติดตลก “ฉันจะไปคนเดียวได้ไง ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนายนะ”
เขาตั้งใจใช้น้ำเสียงสบายๆ ทำให้โจวเอ้อโล่งอก
“งั้นก็ดี!”
โจวเอ้อหยิบเสื้อผ้าที่โยนไว้ที่พื้นขึ้นมา ส่งให้ลู่เซิ่น “ไม่มีเวลาแล้ว รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยคุยกัน”
ถ้าเวลาที่เหยาจ้าวบอกแม่นยำ อีกชั่วโมงหนึ่งฉินซีก็น่าจะถึงแล้ว
ตอนนี้พวกเขาออกเดินทาง ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมงถึงสถานที่จัดงาน จากนั้นค่อยจัดการทุกอย่าง ก็น่าจะพอดีกับเวลา
“เดี๋ยวก่อน”
ลู่เซิ่นเรียกเขาที่กำลังยุ่ง
เขาหยิบกล่องสีดำออกมาจากด้านหลัง ส่งสายตาให้โจวเอ้อเปิด
โจวเอ้อชะงัก มองกล่องที่ไม่คุ้นเคย
เขาไม่เคยเห็นของนี้มาก่อน
“มันคืออะไร”
โจวเอ้อขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
ใบหน้าหล่อเหลาของลู่เซิ่น ฉายความรู้สึกลึกลับ ริมฝีปากบางขยับ พูดขึ้นอย่างมีความหมาย “นายเปิดดูก็รู้”
เขาเลิกคิ้ว ให้โจวเอ้อรีบเปิดดู
หลังจากลู่เซิ่นเร่ง โจวเอ้อเดินเข้าไปหาเขา