บทที่ 1444 พบหน้า
เหมือนสุภาษิตที่ว่ารับของคนอื่นแล้วต้องตอบแทน
หลังจากทั้งสามคนรับของขวัญ ก็เกรงใจไม่กล้าทำหน้านิ่งอีก
เมื่อจัดการทั้งหมดเรียบร้อย โจวเอ้อก็เดินกลับไปหาลู่เซิ่น
“เรียบร้อยแล้ว”
โจวเอ้อตบมือ ในใจรู้สึกโล่งอก
ลู่เซิ่นมองเขาท่าทางสบายใจ พยักหน้า “ขอบใจนาย พวกเราไปเฝ้าข้างหน้ากันเถอะ”
ลองกะเวลาดูแล้ว อีกแค่สิบกว่านาทีฉินซีก็น่าจะมาถึงแล้ว
ไม่รู้ว่าตอนที่ฉินซีเห็นเขาจะจำได้หรือไม่
ลู่เซิ่นครุ่นคิด ตัวเองใส่หน้ากากหนังคน แม้ก่อนหน้านี้สองคนจะอยู่ด้วยกันตลอด แต่ฉินซีคงจะคาดไม่ถึง เขาจะหน้าตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ลู่เซิ่นกับโจวเอ้อเพิ่งจะมาถึงเคาน์เตอร์ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากไกลๆ
ลู่เซิ่นหันไปมองทางประตูทันที ดวงตามีประกายของการรอคอย
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นาทีนี้ ลู่เซิ่นได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นเร็วขึ้น
เขาสูดลมหายใจลึก บังคับตัวเองให้เย็นลง อย่าถูกจับได้
เวลาเดียวกัน
ฉินซียังไม่รู้ว่าลู่เซิ่นมารอแล้ว
เธอก้าวเท้าสง่างาม ท่วงท่าผลักประตูเข้าไปในสถานที่จัดงานเป็นธรรมชาติ
ลู่เซิ่นจ้องมองเธอไม่กะพริบ แววตามีความหมายลึกซึ้ง
สายตาของเขาเร่าร้อนขนาดนั้น ทำเอาฉินซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ไม่รู้เพราะอะไร ฉินซีรู้สึกว่าสายตานั้นคุ้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยเห็นที่ไหน
ฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ภาพใบหน้าคมคายนั้น แวบเข้ามาในหัว
เธอรู้สึกว่าสายตานั้นเหมือนกับลู่เซิ่นอย่างประหลาด
เมื่อเกิดความคิดนี้ ก็ถูกฉินซีระงับไว้อีกครั้ง
เป็นไปไม่ได้
ฉินซีนวดขมับตัวเอง บังคับตัวเองให้มีสติ
ตอนนี้ลู่เซิ่นคงกำลังวางแผน จะแอบเข้ามาในงานเลี้ยงพรุ่งนี้ไม่ให้ใครจับได้ จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
อีกอย่างคนที่อยู่ตรงหน้าหน้าตาธรรมดาๆ ต่างกับใบหน้าราวเทพบุตรของลู่เซิ่นลิบลับ จะเป็นคนเดียวกันได้อย่างไร
ฉินซีรีบปฏิเสธความคิดเลอะเทอะนี้อย่างรวดเร็ว
เธอระงับความรู้สึกแปลกๆ นี้ แล้วก้าวเท้าเดินแผ่วเบา ตรงไปทางเคาน์เตอร์
ขณะที่เธอเดินไปนั้น สายตาของลู่เซิ่นมองตาม ฝีเท้าของเธอตลอด
ฉินซีหยุดที่ตรงหน้าเขา หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋า “สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นเลขาของ ประธานหลู พรุ่งนี้ประธานของพวกเราจะจัดงานเลี้ยงที่นี่ ก็เลยส่งพวกเรามาตรวจสอบว่าเตรียมงานกันไปถึงไหนแล้วค่ะ”
ริมฝีปากขยับนิดๆ เธอพูดเรียบๆ ไม่มีท่าทางประหม่า
ก่อนที่จะมาถึงที่นี่ ฉินซีเตรียมของที่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดพร้อมแล้ว
เธอผ่านมาแล้วหลายศึก จึงคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตเสี่ยงอันตรายแบบนี้
อยากจะอยู่ในวงการนี้ สำคัญที่สุดคือการรักษาความสุขุม พิสูจน์ความจริง ยิ่งเป็นช่วงเวลาวิกฤติ ถ้ากระวนกระวาย ก็มีโอกาสถูกจับได้
ดังนั้น ในองค์กรมีคลาสหนึ่ง สอนว่าจะรับมือกับสถานการณ์วิกฤตอย่างไร
ลู่เซิ่นจ้องมองฉินซีไม่กะพริบตา ไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไร
มือของเขาสั่นนิดนึง ใจเต้นรัว อยากจะโผเข้าไปกอดฉินซี
แต่ลู่เซิ่นรู้ว่าเขาทำไม่ได้ ถ้าเขาแสดงท่าทางผิดปกติอะไรขึ้นมา การ์ดสองคนนั่น จะต้องเข้ามาจับเขาแน่
โจวเอ้อที่อยู่ข้างหนึ่งรู้สึกกังวล เขาอยากกระแอมเตือนลู่เซิ่น แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เกิดพิรุธ
ดีที่ลู่เซิ่นตะลึงไปเพียงสามวินาที ก็รู้สึกตัว
ลู่เซิ่นสูดลมหายใจลึกบังคับให้ตัวเองใจเย็น เขาพูดเสียงแหบ “โอเค ผมจะพาคุณไปครับ”
เขาก้มหน้า ขนตางอนยาวบังความรู้สึกในดวงตา
ลู่เซิ่นพูด ขณะที่พาฉินซีเข้าไปในสถานที่จัดงาน
ฉินซีมองด้านหลังสูงใหญ่ของเขา ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งทียิ่งมากขึ้น
ถ้าเมื่อครู่ไม่เห็นหน้าเขา เห็นเพียงด้านหลัง เขาคงเรียกชื่อลู่เซิ่นโดยไม่ลังเลสักนิด
ทว่า ตอนนี้ฉินซีไม่กล้ามั่นใจ
ฉินซีได้แต่เดินตามเขาไปด้วยความสงสัย ในใจครุ่นคิดจะใช้วิธีไหนทดสอบเขาดี
ขณะที่ จั่วยีจั่วเอ้อจะตามไป ก็ถูกโจวเอ้อขวางไว้ก่อน
“สองท่าน ผมพาพวกคุณไปดูทางนี้ครับ”
โจวเอ้อยิ้มแย้มมองทั้งสองคน พูดอย่างนอบน้อม
จั่วยีจั่วเอ้อ ขมวดคิ้ว “ถอยไป”
ตามคำสั่งของจ้านเซิน พวกเขาต้องติดตามฉินซีไม่ให้คลาดสายตา นอกจากเข้าห้องน้ำ เวลาอื่นห่างไม่ได้สักนาทีเดียว
ฉินซีได้ยินเสียงเอะอะข้างหลัง ก็ชะงักฝีเท้า “จั่วยีจั่วเอ้อ สถานที่ใหญ่มาก พวกเราแยกกันดูละกัน จะได้ประหยัดเวลา”
เธอเองก็ไม่อยากถูกจับตามองตลอด
ทว่า จั่วยีจั่วเอ้อปฏิเสธเธอแข็งขัน “เลขานุการฉิน พวกเราไปดูด้วยกันเถอะ”
เพื่อไม่เปิดเผยสถานะ ตอนที่อยู่ข้างนอกพวกเขาสองคนเรียกฉินซีว่า เลขานุการฉิน
จั่วยีเป็นพี่ชายปกติแล้วจะแข็งแกร่งกว่า
เขาไม่สนใจโจวเอ้อ เดินไปหน้าฉินซีจั่วเอ้อ ตามติดเธอ
ฉินซีคิดจะไล่สองคนนั้นไป หาโอกาสทดสอบผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า แต่นึกไม่ถึงสองคนนี้จะรักษาหน้าที่เคร่งครัด ไม่ยอมไปเด็ดขาด
มิน่าล่ะ จ้านเซินเคยพูด ต่อให้คนทั้งองค์กรหักหลังเขา จั่วยีจั่วเอ้อ จะต้องปกป้องเคียงข้างเขา
ทีแรกฉินซีไม่เชื่อ แต่หลังจากเรื่องวันนี้ เธอเชื่อเขาแล้ว
จ้านเซินไม่อยู่ที่นี่ พวกเขายึดมั่นคำสั่งของเขาตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ถ้าเขาอยู่ด้วย คงจะยิ่งรับผิดชอบอีกหลายเท่า
ฉินซีมองตามหลังเขาสองคน แอบถอนใจอยู่เงียบๆ
ไม่มีทาง เธอได้แต่แกล้งทำเป็นสุขุมเดินต่อไป “งั้นก็ได้ ตามฉันมาละกัน อย่าวุ่นวาย”
แม้ว่าตอนนี้ฉินซีถูกจับตามอง แต่เธอยังมีอำนาจส่วนใหญ่ในมือ
ในเมื่อฉินซีมีประสบการณ์ด้านนี้มากมาย ออกมาปฏิบัติภารกิจทุกครั้งก็สำเร็จทุกครั้ง
เมื่อเทียบผลงานกับฉินซี จั่วยีจั่วเอ้อ ยังห่างชั้น
“ครับ”
จั่วยีจั่วเอ้อพยักหน้าพร้อมกัน
พวกเขาตามติดหลังฉินซี สองคนไม่ใช่แค่หน้าตาคล้ายกัน แม้แต่จังหวะก้าวเท้าก็เหมือนกัน
โจวเอ้อมองสองคนที่ตามติดหนึบเหมือนหมากฝรั่ง ก็ขมวดคิ้ว
ไม่ได้ เขาต้องหาวิธีไล่ จั่วยีและ จั่วเอ้อไป หาโอกาสให้ฉินซีกับลู่เซิ่นมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ขณะเดียวกันนั้น ลู่เซิ่นก็ส่งสายตาให้เขา บอกใบ้ให้เขาหาโอกาสจัดการ
ทั้งสองคนสนิทสนมกันจนไม่ต้องพูดสื่อสารกัน เพียงแค่ส่งสายตาก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
โจวเอ้อยืนอยู่ที่ที่จั่วยีจั่วเอ้อมองไม่เห็น พยักหน้านิดหนึ่ง ตอบรับลู่เซิ่น
แม้ลู่เซิ่นจะหงุดหงิด แต่ก็ยังบังคับตัวเองให้ใจเย็น
เขาพาฉินซีเดินไปข้างหน้า “เลขานุการฉิน ที่นี่คือฮอลล์จัดงานเลี้ยงของเรา”
ลู่เซิ่นมีความสามารถจดจำสิ่งต่างๆ แม่นยำ จึงจำสถานที่ทั้งหมดในหัวได้แต่แรกแล้ว