บทที่ 1453 นี่คือคำสั่ง
โจวเอ้อจงใจพูดอ้อมค้อม ก่อนถามกลับอย่างลึกลับ “นายเดาสิ”
พูดออกมาง่ายๆ สองคำ ทำให้โจวซิงโกรธควันออกหู
โจวซิงรู้สึกว่าเขาจงใจ เหมือนคิดแค่เย้าแหย่ตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกวิธีที่จะได้รับคำตอบจากโจวเอ้อ และเลือกที่จะเดินไปหาลู่เซิ่น
โจวซิงเดินไปหาลู่เซิ่น ใบหน้าหล่อเหลามาพร้อมกับรอยยิ้มประจบประแจง “ลู่เซิ่น พอจะบอกผมได้ไหมว่าของสิ่งนี้มาจากไหน?”
เขาอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ถ้าหากวันนี้ไม่รู้ชัดเจน เขานอนไม่หลับแน่
ลู่เซิ่นไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งเขา ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันทำเอง”
เมื่อน้ำเสียงของเขาจบลง ทันใดภายในห้องก็มีเสียงสูดหายใจ
ตอนนี้ การแสดงออกของโจวซิงดูเกินจริงกว่าตอนที่เขาเห็นจากโจวเอ้อครั้งแรก
โจวซิงมองเขาอย่างไม่เชื่อ “จริงไหม?”
สายตาเขากวาดมองไปยังโจวเอ้อที่ยืนอยู่
โจวเอ้อพยักหน้าไปยังสายตาที่สงสัยของเขา
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม จริงจัง ไม่มีความล้อเล่นแม้แต่น้อย
โจวซิงยากที่จะปกปิดความสั่นสะเทือนใจของเขาได้ “ลู่เซิ่น เยี่ยมไปเลย!”
…
อีกด้าน
ทันทีที่ถังย่าก้าวขาออกมาจากประตูโรงพยาบาล เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เธอหาชื่อจ้านเซินภายในเบอร์ติดต่อ ก่อนจะโทรออกไป
“ตู๊ดตู๊ดตู๊ด… ”
โทรศัพท์ดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนจะมีคนรับสาย
“อืม ถังย่า”
ถังย่าได้ยินเสียงทุ้มต่ำเซ็กซี่ของจ้านเซินจากอีกด้านของโทรศัพท์ หัวใจของเธอก็สั่นไหวเล็กน้อย
ทุกครั้งที่จ้านเซินพูดชื่อของเธอ ถังย่ามักจะรู้สึกถึงความรู้สึกรักที่งอกเงยออกมา
“อืม ฉันเอง”
ถังย่าไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงตอบแบบนี้ เมื่อเธอพูดจบใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันที
จ้านเซินสังเกตได้ถึงความแตกต่างของเธอ เขาขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป”
เขาแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมถังย่าถึงกลายเป็นแบบนี้
จ้านเซินอดไม่ได้ที่จะคิดเข้าใจผิด จะเกิดปัญหาอะไรกับลู่เซิ่นทางนู้นหรือไม่?
“ลู่เซิ่นเป็นอย่างไร?”
น้ำเสียงของจ้านเซินเปลี่ยนเป็นดุดัน
แม้ว่าทั้งสองจะอยู่ห่างกันหลายพันไมล์ แต่ถังย่ายังคงรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของจ้านเซิน ซึ่งมันทำให้เธอสั่นราวกับลูกนก
ถังย่าไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในใจของเธออย่างไร เธอรู้ดีว่าสาเหตุที่จ้านเซินกลายเป็นแบบนี้ทั้งหมดเป็นเพราะฉินซี
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ถังย่าก็ห้ามไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงน้ำเปรี้ยวภายในใจ
เธอหายใจเข้าลึกๆ ระงับความหึงไว้ในใจ “ไม่มีอะไร ลู่เซิ่นสบายดี ตอนนี้เขากำลังนอนพักอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีปัญหาอะไรให้กังวล”
ถังย่าบอกผลการตรวจสอบให้จ้านเซินฟัง เลี่ยงไม่ให้เขากังวล
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น จ้านเซินก็รู้สึกโล่งใจ
แต่จ้านเซินยังคงไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย “เธอแน่ใจไหมว่าลู่เซิ่นไม่ได้ออกไปไหน?”
ไม่รู้อย่างไร วันนี้เขารู้สึกถึงความแปลกของฉินซีที่แสดงให้เห็นเมื่อเช้านี้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลู่เซิ่น
แต่จนถึงตอนนี้ จ้านเซินก็ยังไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อยเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าความคิดของเขาถูกต้อง
ถังย่าเฝ้าอยู่ด้านนอกโรงพยาบาลมาตลอด และมั่นใจว่าไม่เคยเห็นลู่เซิ่นออกไป
เธอพูดยืนยัน “แน่ใจ”
เมื่อถังย่ารับประกัน แม้จ้านเซินจะงุนงง แต่เขาก็ยังเชื่อ
จ้านเซินพูดต่อทันที “ต่อไป ฉินซีจะใช้เวลาอีกสองวันในการทำภารกิจให้สำเร็จและกลับองค์กร ฉันหวังว่าเธอจะจับตาดูลู่เซิ่นให้ดี และไม่ให้มันได้เจอกับฉินซี ทำได้ไหม?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขา ถังย่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “นี่เป็นคำสั่งไหม?”
หากนี่เป็นคำสั่งคำสั่ง ถังย่าไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ
เพราะเธอเคยสาบานว่าจะไม่มีวันทรยศต่อจ้านเซิน
จ้านเซินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูด “ใช่”
ทันทีที่เขาพูด ถังย่าเข้าใจในทันที
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเธอ ถังย่าถอนหายใจภายในใจอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันรู้แล้ว ฉันจะทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่ต้องกังวล”
ถังย่าพูดทีขึ้นทีละคำ ตอนนี้เธอได้ยินเสียงหัวใจที่แตกสลาย
ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดไปกว่าการได้เฝ้ามองผู้ชายที่ชอบ ไปชอบผู้หญิงคนอื่น
บางครั้งถังย่ายังรู้สึกว่าการตายจากไปดีกว่าจะมารู้สึกอะไรแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เธอไม่อาจทำใจตายได้
เธอไม่เคยได้รับการมองอีกแง่มุมหนึ่งจากจ้านเซิน ถังย่าไม่เต็ม เธออยากจะช่วงชิง
จ้านเซินรู้สึกว่าน้ำเสียงของถังย่าแปลกๆ และอยากถามเธอว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เขาได้ยินเสียง “ปี๊ป” ที่ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์
เขาขมวดคิ้ว ก่อนวางโทรศัพท์ลงด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ถังย่าก็ไม่ได้รู้สึกดีใจ
บางทีอาจเป็นเพราะพระเจ้าเข้าใจความรู้สึกของเธอ ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆและฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา
ถังย่ายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า โดยไม่ได้วิ่งหลบแต่อย่างใด
ซิวหน่ายซิงยืนมองเธอจากทางด้านหลัง เขามองไปยังท่าทางอันสับสนของเธอ ก่อนพูดอย่างเจ็บปวดว่า “ลูกพี่ ฝนตกแล้ว พวกเรารีบกลับเถอะ เปียกฝนแล้วจะไม่สบายเอานะครับ”
แม้ว่ากำลังของถังย่าจะสุดยอดมาก แต่ทว่าร่างกายของเธอก็อ่อนแอมาก
แค่โดนฝนก็จะไม่สบาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ถังย่าเคยไปตรวจ พบว่ามันคือการขาดสารอาหารเมื่อตอนเธอยังเป็นเด็ก ไม่หายขาด ภูมิคุ้นกันไม่ดีมาแต่กำเนิด
ซิวหน่ายซิงพูดพลางถอดเสื้อโค้ตของตัวเอง มาปกคลุมไว้บนศีรษะ “สุขภาพของคุณแย่ขนาดนี้ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ต้องกินยานะครับ”
เช่นเดียวกับฉินซี ถังย่าเกลียดการกินยามากเช่นกัน
เธอไม่ได้กลัว แต่เพราะเธอรู้สึกว่าชีวิตมันขมขื่นพออยู่แล้ว จะดีกว่าไหมถ้าได้กินอะไรหวานๆ ทำไมต้องมากินยาขมๆพวกนี้ด้วย
“อืม”
ถังหยามองท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ตอบรับแผ่วเบา
ที่จริงแล้วเธอชอบวันที่ฝนตก ตอนเด็กๆ เธอก็อยากไปตากฝนเพื่อเล่นน้ำเหมือนเด็กคนอื่นๆ
แต่เธอกลับทำไม่ได้ เพราะเธอจะป่วยและมีไข้ขึ้นสูง
บางครั้ง ถังย่าก็คิดอย่างโศกเศร้า บางทีเธอคงไม่มีโชควาสนา
เธอไม่สามารถแม้แต่จะหวังถึงความปรารถนาเล็กน้อยที่เรียบง่ายได้เลย ไม่แม้แต่จะได้คิดเพ้อฝันเฉกเช่นคนธรรมดา ชีวิตธรรมดาที่แสนเรียบง่าย นี่คือโชคชะตาของเธอ
ซิวหน่ายซิงรู้ว่าเธอรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดขึ้นมาอย่างทุกข์ใจ “พี่ใหญ่ ไม่อย่างนั้นเรามาแข่งกันไหมครับ ใครวิ่งไปข้างในตึกนั้นได้ก่อน ใครถึงก่อนจะได้เลี้ยง”
เพื่อให้ถังย่าสามารถรู้สึกดีขึ้นโดยเร็วที่สุดซิวหน่ายซิงต้องคิดหาวิธีการ
แน่นอนว่าคำพูดของซิวหน่ายซิงกระตุ้นปลุกใจความอยากเอาชนะของถังย่าทันที
ดวงตาที่เดิมทีหลุดโฟกัสค่อยๆมีสีสันขึ้นมาทีละนิดละน้อย
ถังย่าหันไปมองซิวหน่ายซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนถามด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ตึกไหน พูดให้ชัด อย่ามาเบี้ยวแล้วกัน! ผู้ชาย ไม่รักษาคำพูด”