บทที่ 1464 พบเจออันตราย
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ ทำให้ฉินซีตะลึงงัน
แต่ว่า ไม่นานเธอก็ได้สติ
ฉินซีสูดหายใจเข้าลึก พยายามบังคับตัวเองให้สงบลง
เธอไม่ได้พูดอะไรออกไป นิ่งเงียบรอให้ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยปากขึ้น
หรูเว่ยเสียงคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่บุกมาจะเป็นผู้หญิง แววตาเผยความประหลาดใจออกมา:“คุณกำลังหาอะไรอยู่?”
แต่ว่าเขาอยู่เขาคุกคลีอยู่ในวงการนี้มาหลายปี ในใจของหรูเว่ยเสียงเยือกเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งเสียแล้ว
ความประหลาดใจในตอนแรกเริ่ม จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ขอเพียงแค่เป็นภัยต่อหลูจื๋อหลินล้วนเป็นศัตรูของเขา
หรูเว่ยเสียงที่อยู่ตรงข้ามถามขึ้นอย่างเคร่งขรึม ฉินซีพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า:“หากฉันบอกว่า ฉันไม่ได้หาอะไร คุณจะเชื่อไหม?”
เธอดัดเสียงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ประโยคง่ายๆของฉินซีประโยคนี้ ทำให้หรูเว่ยเสียงโกรธในทันใด
“คุณคิดว่าผมจะเชื่อไหม?”
มือที่บีบไหล่ของฉินซีบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของหรูเว่ยเสียงเผยความโกรธออกมา
เขาไม่มีอารมณ์ที่จะมาล้อเล่นกับฉินซี
ฉินซีรู้สึกได้ถึงอารมณ์โกรธของเขา ยิ้มอ่อนพลางเอ่ยปากขึ้นว่า:“ฉันเข้าใจแล้ว”
เธอทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับกำลังพูดคุยในชีวิตประจำวันเท่านั้น
หรูเว่ยเสียงมองไปที่ดวงตาเรียบเฉยของเธอ และถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า:“คุณไม่กลัวผมลงมือข้าคุณเลยเหรอ?”
รูม่านตาของเขาหรี่ลง คิดว่าฉินซีเป็นคนที่แปลกที่สุดที่เขาเคยเจอมาในหลายปีนี้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงจะคุกเข่าร้องขอชีวิต ขอร้องเขาให้ปล่อยเธอไป
แต่ฉินซีมีเพียงแค่แรกเริ่มที่รู้สึกตกใจ เวลาที่เหลือล้วนแต่สงบสติอารมณ์ ราวกับที่นี่เป็นบ้านของตน เขาต่างหากที่เป็นคนบุกรุก
ฉินซีไม่ได้ตอบคำถามเขาตรงๆ ยกริมฝีปากขึ้นเบาๆ:“หากฉันบอกว่าฉันกลัว แล้วคุณจะปล่อยฉันไปไหม?”
เธอกลับถามย้อนกลับเขา และจ้องมองตรงไปที่หรูเว่ยเสียง
หรูเว่ยเสียงส่ายหัวอย่างไม่ลังเล:“ไม่”
เขาเป็นบอดี้การ์ดที่หลูจื๋อหลินจ้างมา การดูแลรักษาสิ่งของในห้องแห่งนี้เป็นความรับผิดชอบของเขา
ในเมื่อฉินซีอยากจะมาขโมยของที่นี่ นั้นก็หมายความว่าเธอล้ำเส้นของเขา แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมใจอ่อนปล่อยเธอไป
“นั้นก็ถูกแล้ว”
ฉินซีมองบน พลางยักไหล่:“คุณก็บอกเองว่าคุณจะไม่ปล่อยฉันไป แล้วถ้าฉันจะขอร้องคุณจะมีประโยชน์อะไร ก็แค่ทำให้คนหัวเราะเยอะ ฉันเป็นคนรักศักดิ์ศรีของตัวเอง ต่อให้ต้องตายก็ต้องตายอย่างมีมีเกียรติ ฉันจะไม่ยอมก้มหน้าอย่างเด็ดขาด คุณเลิกหวังเถอะ”
เธอวิพากษ์วิจารณ์ ท่าทางยอมตายแต่ไม่ยอมศิโรราบ ราวกับตนเองกำลังช่วยคลายความทุกข์ยากของประชาชน
ความเป็นจริงแล้วภารกิจที่ฉินซีทำอยู่ตอนนี้เดิมก็ทำเพื่อประชาชน เพียงแต่ว่าใช้วิธีการที่บอกคนอื่นไม่ได้แค่นั้นเอง
แต่ว่า หลายๆครั้งวิธีการปกติก็ไม่สามารถต่อกรกับคนเลวได้
เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องใช้วิธีพิเศษที่พอจะให้อภัยได้ ฉินซีไม่รู้สึกว่าผิดตรงไหน
เผชิญหน้ากับท่าทีเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ของเธอ ในใจลึกของหรูเว่ยเสียงไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
คำพูดทั้งที่ดีและไม่ดีต่างให้ฉินพูดออกมาจนหมดแล้ว เขายังจะมีอะไรที่ต้องพูดอีก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในใจของหรูเว่ยเสียงจู่ๆก็รู้สึกสนุกขึ้นมา
เขาอยากที่จะแกล้งฉินซีเล่น ดูว่าเธอจะไม่รู้สึกหวาดกลัวเหมือนที่ปากเธอพูดหรือเปล่า
หรูเว่ยเสียงพูดขึ้นอย่างไร้ความรู้สึกว่า:“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผมก็จะส่งคุณไปตามทางของคุณ”
“คาชา!”
หรูเว่ยเสียงชักปืน
เขาเล็งไปที่เธอ ราวกับตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะฆ่าเธอทิ้ง
เมื่อสักครู่นี้ฉินซีก็แค่ต้องการยื้อเวลาเท่านั้น เพื่อหาโอกาสในการหลบหนี
เมื่อเห็นว่าเขาชักปืน ดวงตาก็เผยแววสับสนอลม่านออกมา
“ช้าก่อน!”
ฉินซีไม่อยากตายก่อนวัยอันควรแบบนี้ เธอรีบเรียกหรูเว่ยเสียงเพื่อให้เขาหยุด
เธอใช้โอกาสนี้คว้าปืนของแล้วเปลี่ยนตนเองให้เป็นฝ่ายรุก
หรูเว่ยเสียงคิดไม่ถึงว่าด้านหลังของเธอจะเป็นแบบนี้ เขาก็แค่คลายมือลงนิดเดียว แต่กลับทำให้เธอได้โอกาสและปืนที่อยู่ในมือก็หล่นลง
เมื่อได้สติว่าฉินซีกำลังจะหลบหนี ชั่วขณะนั้นหรูเว่ยเสียงก็โกรธ
เขาไม่อ่อนข้อให้ และเริ่มโจมตีฉินซีอย่างรุนแรง
ฉินซีไม่ได้อยากทำร้ายใคร เธอหยิบปืนขึ้นมายิ่งไปทั่วห้อง และยังไม่ยอมจากไป
เธอรับปากจ้านเซินไว้แล้วว่า จะต้องหาหลักฐานให้ได้แล้วลงโทษหลูจื๋อหลินตามกฎหมาย
ตอนนี้เธอยังทำไม่สำเร็จ แน่นอนว่าเธอจะไม่จากไปมือเปล่า
เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของเธอแล้วหรูเว่ยเสียงก็รีบโทรเรียกหน่วยสนับสนุน:“รปภ.รีบขึ้นมาสักสองสามคน มีคนบุครุก”
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง รอบกายเต็มไปด้วยไอแห้งความหนาวเหน็บ
……
ในขณะเดียวกัน
ลู่เซิ่นก็อยู่ในงานปาร์ตี้ และรอการกลับมาของฉินซีอย่างร้อนใจ
สายตาของเขาไม่เคยละสายตาจากฉินซี เมื่อสักครู่นี้ตอนนี้ฉินซีจากไปตัวคนเดียว ลู่เซิ่นก็รู้ว่าเธอไปจัดการภาระกิจ
ฉินซีบอกว่า อย่างมากเธอก็จะไปแค่ครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้เลยเวลามาห้านาทีแล้ว เธอยังไม่โผล่มาแม้แต่เงา
เมื่อเห็นว่าฉินซียังไม่กลับมา ใจของลู่เซิ่นก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรน
เมื่อเข็มนาฬิกาชี้ไปที่สี่สิบนาที ลู่เซิ่นก็ไม่สามารถระงับความกังวลของตนได้ รีบเดินไปข้างๆโจวเอ้อ
ลู่เซิ่นพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า:“โจวเอ้อ ดูเหมือนว่าฉินซีจะเกิดเรื่อง ผมจะขึ้นไปดูสักหน่อย นายพลางตัวอยู่ตรงนี้แล้วกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นให้รีบติดต่อผม”
เขาพูดพลางใส่หูฟังบลูทูธ
เมื่อโจวเอ้อได้ยินน้ำเสียงกลัดกลุ้มของเขา ก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของเรื่องที่เกิดขึ้น
เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง พลางพูดขึ้นเสียงเบาว่า:“ได้ คุณก็ระวังตัวด้วย”
โจวเอ้อกำชับลู่เซิ่นเพราะไม่วางใจ แต่เหมือนลู่เซิ่นกลับไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย
ในใจของเขาเหลือเพียงฉินซีคนเดียว และอาศัยช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจ วางของไว้ที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องน้ำ
ขณะที่ลู่เซิ่นอยู่ระหว่างทางไปช่วยฉินซี เขาก็เห็นรปภ.กลุ่มหนึ่ง ปากบ่นพึมพำว่า:“เร็วเข้า!อย่าชักช้า เดี๋ยวหัวหลุดจากบ่าหรอก!”
สีหน้าท่าทางของรปภ.กลุ่มนั้นรีบร้อน ดูเหมือนว่ากำลังเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น
ใจของลู่เซิ่นเต้น“ตึกๆ” ลางไม่ดีผุดขึ้นมาให้หัวของเขา
“ฉินซี คงไม่ได้ถูกจับได้หรอกนะ?”
คนเยอะขนาดนี้ ดูเหมือนจะไปจับใคร
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลู่เซิ่นก็อดไม่ได้รีบเร่งฝีเท้าของตน
ไม่ได้!
เขาจะต้องรีบไปช่วยฉินซี ก่อนที่เธอจะถูกจับได้
ลู่เซิ่นรู้ดีว่าชุดของพนักงานเสิร์ฟนั้นเป็นที่สังเกตเกินไป จึงเปลี่ยนชุดก่อน จากนั้นไปตามทางของฉินซี แล้วปีนขึ้นไปบนห้องของหลูจื๋อหลิน
เท้าของเขาเหยียบพื้นอย่างเงียบๆ ก็เห็นฉินซีกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่
ผู้ชายคนนั้นใส่ชุดเหมือนกับรปภ.ที่เขาพบเจอไม่มีผิด
เมื่อเห็นว่าฉินซีตกอยู่ในอันตราย สีหน้าของลู่เซิ่นก็เปลี่ยนไป และรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือ